“วสันต์” ยินดีศาล รธน. วินิจฉัย ชี้ พ.ร.ก.เลื่อนบังคับ กม.อุ้มหาย ไม่สอดคล้อง รธน. พร้อมร่วมขับเคลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (25 พ.ค.) นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และให้พระราชกำหนดดังกล่าวเป็นอันตกไป และไม่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.ว่า กสม. รู้สึกยินดีอย่างยิ่งกับคำวินิจฉัยดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์ตามกำหนดการเดิม และตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ยังเป็นที่น่ายินดีที่ ครม. ขานรับและมีมติเห็นชอบแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ 6 ท่าน เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านสิทธิมนุษยชน ด้านกฎหมาย ด้านนิติวิทยาศาสตร์ แพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ และแพทย์ทางจิตเวชศาสตร์
สำหรับการดำเนินงานของ กสม. ในช่วงที่ผ่านมา กสม. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาสังคม เตรียมความพร้อมการบังคับใช้กฎหมายป้องกันการทรมานและบังคับสูญหาย ให้เกิดประสิทธิภาพ โดยมีการประชุมทำความเข้าใจกับหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งได้ร่วมมือกับสำนักงานอัยการสูงสุดริเริ่มโครงการอบรมให้ความรู้แก่ตัวแทนภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากอยู่ภายใต้การประกาศใช้กฎหมายในสถานการณ์พิเศษ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมีความตระหนักในเรื่องดังกล่าวและพร้อมเป็นหูเป็นตา เฝ้าระวังเหตุการณ์ทรมานและอุ้มหาย และร่วมทำหน้าที่แจ้งเหตุให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ทราบ โดยสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหน่วยงานสำคัญตามกลไกของกฎหมายดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับแจ้งเหตุตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ สำนักงาน กสม. ยังร่วมกับภาคีเครือข่ายดำเนินโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องมือ มาตรฐาน และระบบการป้องกัน คุ้มครองและเยียวยาตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (OPCAT) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีเครื่องมือที่ชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอันจะนำไปสู่การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ