xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.ดี๊ด๊าต้อนรับ “ตระกูลม่วงศิริ” ผนึกกำลังลุยศึกฝั่งธน เปรียบได้ ”สุวัฒน์” เหมือนได้เพชร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปชป กระดี๊กระด๊า ต้อนรับ “ตระกูลม่วงศิริ” ผนึกกำลังลุยศึกฝั่งธน เปรียบ “สุวัฒน์” เข้ามาเหมือนได้เพชรเพิ่ม 1 เม็ด มั่นใจกวาดที่นั่ง กทม. ยกทีม! ด้าน “สุวัฒน์” ปัดตอบปมดีลใหญ่ ไม่รู้หมายถึงอะไร

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ผู้รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้ง นายสากล นายสาคร นายสามารถ และ น.ส.วณิชชา ม่วงศิริ ร่วมกันต้อนรับ นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ ซึ่งได้มาสมัครสมาชิกประชาธิปัตย์ แบบตลอดชีพ และเสนอตัวลงเป็นผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวภายหลังการมอบเสื้อและมอบบัตรสมาชิกให้กับนายสุวัฒน์ ว่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวประชาธิปัตย์ พร้อมกับได้เปิดตัวผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตที่ 26 บางขุนเทียน เฉพาะแขวงท่าข้าม และเขตจอมทอง ยกเว้นบางขุนเทียน ที่พรรคได้สมาชิกจากครอบครัวตระกูลม่วงศิริ เข้ามาร่วมในการลงสมัครผู้แทนในเขตดังกล่าว ซึ่งก็คือ นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ โดยจะลงสมัคร ส.ส. ในเขต 26 พร้อมกับให้เหตุผลว่า จากการแบ่งเขตของ กกต. ทำให้การวางตัวผู้สมัครของพรรค ซึ่งมีการวางตัวไปแล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องปรับให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ นอกจากนี้ จากการพูดคุยกับนายสากล นายสาคร นายสามารถ ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นอดีต ส.ส. ว่า ตนต้องการเห็นภาพคนในตระกูลม่วงศิริทั้งหมดมาอยู่รวมกัน และทำการเมืองร่วมกัน เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่ในเขตฝั่งธนฯ เป็นอย่างมาก

“ขอต้อนรับสู่พรรคประชาธิปัตย์ และขอต้อนรับที่จะเป็นกำลังสู้ไปด้วยกันวันนี้เป็นวันที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เพชรขึ้นมาอีก 1 เม็ด คือ นายสุวัฒน์ สำหรับการต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งนี้และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องฝั่งธนฯ ทั้งหมดจะให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์” นายเฉลิมชัย กล่าว

ด้าน นายองอาจ กล่าวว่าเมื่อการแบ่งใหม่ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อน จึงต้องมีการตัดสินใจผนึกกำลัง เพื่อให้การแบ่งพื้นที่มีความเข้มแข็งมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งจะเป็นการรวมพลังในพื้นที่ทั้งหมดให้นำไปสู่ชัยชนะของการเลือกตั้ง นอกเหนือจากการทำงานด้านอื่นๆ แล้ว พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าการทำงานในพื้นที่อย่างเข้มแข็งของผู้สมัครในฐานะที่มาจากตระกูลม่วงศิริ ก็ถือว่ามีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนายสากล ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนทั้งเขตบางขุนเทียน และเขตของนายสากล รวมทั้งพื้นที่บางส่วนก็อยู่ในเขตของนายสุวัฒน์ ด้วย และนอกจากนายสุวัฒน์จะดูแลพื้นที่บางขุนเทียน จอมทองแล้ว เขตของนายสากล ยังมีเขตบางขุนเทียนในหลายแขวงที่ไปรวมกับเขตบางบอน ในขณะที่เขตบางบอนเองก็ไปพันกับอีกเขตและเขตจอมทองเช่นเดียวกัน ส่วนนายสุวัฒน์เองก็เคยเป็น ส.ส. ในพื้นที่เขตบางบอน จอมทอง และยังมีเขตหนองแขม ซึ่งมี น.ส.วณิชชา ม่วงศิริ ดูแลพื้นที่อีกด้วย

“จะเห็นได้ว่าทั้งเขตจอมทอง บางขุนเทียนบางบอน ล้วนเกี่ยวพันกันหมด และยังมีเกี่ยวพันกับเขตหนองแขม ทั้ง 3 เขต หากเราไม่ผนึกกำลังกัน แล้วต้องแข่งขันกันเองในหมู่ญาติพี่น้อง ก็จะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการทำงานในพื้นที่เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เราได้พยายามจัดสรรบุคคลที่มีความเหมาะสมที่สุดในพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยไม่ได้มีเหตุผลอื่น แต่ต้องการทำให้คนเหล่านี้ได้มีโอกาสเป็น ส.ส. เพื่อทำประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนและบ้านเมืองต่อไป ดังนั้นเป้าหมายสำคัญของการเชิญนายสุวัฒน์มาอยู่ในทีมเดียวกัน และทำงานร่วมกับพรรคจึงมาจากพื้นฐานของประชาชน และเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ” นายองอาจ กล่าว

ด้าน นายสุวัฒน์ กล่าวถึงสาเหตุของการตัดสินใจเข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ ว่า เพื่อให้ตระกูลม่วงศิริไม่ต้องส่งผู้สมัครลงแข่งขันกันเอง ซึ่งจะกระทบต่อความเป็นปึกแผ่นของตระกูลม่วงศิริ และฐานเสียงของพี่น้องประชาชนเกิดความยากลำบากในการตัดสินใจ การที่ตนเข้ามาอยู่ในทีมเดียวกัน อยู่พรรคเดียวกัน ก็จะทำให้พี่น้องประชาชนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ ยังเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่ยั่งยืนและมีความสำคัญในการบริหารประเทศชาติ และผู้ใหญ่ในตระกูลม่วงศิริ ได้ขอร้องให้พวกเราดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยการเป็นทีมม่วงศิริ เพื่อให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับพี่น้องประชาชน อีกทั้งยังเป็นการมอบความไว้วางใจให้กับพวกเราที่เป็นทีมม่วงศิริ ซึ่งมีฐานเสียงอยู่บริเวณนั้นมาอย่างยาวนาน จึงถือว่าเป็นเหตุผลหลัก ประกอบกับการที่ กกต. เพิ่งมีการแบ่งเขตอย่างกระชั้นชิด ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญในการตัดสินใจในครั้งนี้

ต่อกรณีทีข่าวว่าการลาออกจากพลังประชารัฐของนายสุวัฒน์นั้น เป็นเพราะมีดีลที่ใหญ่กว่านั้น นายสุวัฒน์ กล่าวเรื่องดีลที่ใหญ่กว่านั้น ตนก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร แต่เรื่องเขตเลือกตั้งมีความซับซ้อนกัน และแทนที่จะเห็นตระกูลม่วงศิริส่งผู้สมัครแข่งขันกันเอง แต่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่าหากตนมาอยู่ร่วมกับทีมเดียวกัน และยังทำให้ประชาชนง่ายต่อการตัดสินใจ ส่วนเรื่องการร่ำลานั้นหลังจากที่มีความชัดเจนแล้วตนก็ได้บอกกล่าวกับผู้ใหญ่ พร้อมกับขอนัดหมายเข้ากราบลาท่านด้วยตัวเองแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ สำหรับผู้สมัครบางท่านที่สนิทตนก็ได้ปรึกษาหารือ และเมื่อตนได้ตัดสินใจชัดเจนแล้วก็ได้ติดต่อกลับไปแจ้งให้ทราบแล้ว

ด้าน นายเฉลิมชัย กล่าวถึงการตั้งเป้าตัวเลข ส.ส. ใน กทม. ว่า เราทำเต็มความสามารถทุกเขต เมื่อทำเต็มความสามารถแล้วก็สู้ทุกพื้นที่ เชื่อว่า ชาว กทม. จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจในเรื่องนี้ นี่คือ ความตั้งใจที่จะทำให้เห็นว่าเราตั้งใจเข้ามาทำงานอย่างแท้จริง ขอให้เป้าหมายนี้เป็นคำตอบในวันที่ 14 พฤษภาคม ตนมั่นใจทุกเขตแต่จะชนะกี่เขตขอให้ถามประชาชนก่อน

“อย่าไปดูถูกประชาชนเพราะวันนี้ต้องฟังเสียงของประชาชนก่อนว่าวันที่ 14 พฤษภาคมปิดหีบ ประชาชนให้ความไว้วางใจใครบ้าง เท่าไหร่ นั่นถึงจะเป็นคำตอบ ผมเป็นคนต่างจังหวัดเล่นละครไม่ค่อยเก่ง เล่นไม่เป็นด้วย สิ่งที่ผมจะทำคือสิ่งที่มันจะเป็นความจริงเท่านั้นและมันมีโอกาสที่จะเป็นความจริง จะรู้ได้อย่างไรว่าประชาธิปัตย์จะไม่ได้มาก ให้ประชาชนตัดสินใจก่อน เพราะวันนี้ประชาธิปัตย์ก็กำลังเปลี่ยนให้คนไทยเห็นว่าเรากำลังเปลี่ยนแปลง เมื่อความเปลี่ยนแปลงเป็นความท้าทาย ดังนั้นเมื่อประชาธิปัตย์เปลี่ยน เรามาร่วมกันเปลี่ยนมั้ย มาช่วยผมมั้ย” นายเฉลิมชัย กล่าว

พร้อมกับได้ฝากผู้สื่อข่าวไปตอบนายสกลธี ว่า ดีลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ดีลสายเลือด ไม่มีอะไรใหญ่กว่านี้ ส่วนถ้าดีลอื่นๆ ประชาธิปัตย์ สู้ไม่ได้อยู่แล้ว

ส่วนที่มีการรับประทานอาหารร่วมกันของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ผ่านมา นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ก็เป็นสิทธิในการรับประทานอาหาร ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับความเป็นนักการเมือง ตนก็ทานอาหารกับทุกคนเพียงแต่ตนไม่ได้โชว์ภาพเท่านั้นเอง

“ผมเคยพูดไว้ว่า การเล่นการเมืองนั้น เล่นเพื่อที่จะทำประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชนและประเทศชาติ เพราะฉะนั้นเล่นการเมืองไม่ได้เข้าสู่สนามรบเพื่อฆ่ากัน แต่เข้าสู่สนามเพื่อแข่งขันกัน ถ้าทุกคนคิดอย่างนี้ประเทศไทยเดินได้” นายเฉลิมชัยกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น