ศาลปกครองสูงสุด ยืนตามชั้นต้น ทุเลาบังคับคดีให้ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” กลับเข้ารับราชการไว้ก่อน หลังกระทรวงทรัพย์ เคยมีคำสั่งปลดออก ปมเผาทรัพย์สินชาวบ้านบางกลอย
วันนี้ (17 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ลงโทษปลด นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกจากราชการ ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก นายชัยวัฒน์ ยื่นฟ้อง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 หลังป.ป.ท.ชี้มูลความผิด ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา โดยการเผาทำลายทรัพย์สินของชาวบ้านบางกลอยในป่าแก่งกระจาน
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองชั้นต้น ระบุเหตุผลว่า ในชั้นนี้เห็นว่า การที่ ป.ป.ท. มีมติว่า การกระทำของนายชัยวัฒน์เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มิใช่การมีมติชี้มูลความผิด ที่เกี่ยวกับการกระทำทุจริตในภาครัฐ กรณีจึงเห็นว่า ป.ป.ท. น่าจะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดีในความผิดฐานดังกล่าว และมติของ ป.ป.ท.ดังกล่าว ย่อมไม่ผูกพันปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาของนายชัยวัฒน์ที่จะพิจารณาโทษทางวินัยและถือเอารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง และความเห็นของ ป.ป.ท.มาเป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย การที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีคำสั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงโทษปลดนายชัยวัฒน์ ออกจากราชการ ในความผิดทางวินัยฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย อย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด โดยมิได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนและมิได้แจ้ง ข้อกล่าวหาดังกล่าวให้นายชัยวัฒน์ทราบ คำสั่งลงโทษปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการตามฐาน ความผิดดังกล่าว จึงน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า การมีคำสั่งปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการย่อมมีผลให้นายชัยวัฒน์ต้องพ้นจากการเป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากนายชัยวัฒน์จะได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จากการไม่ได้รับเงินเดือน สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการต่างๆ ตามสิทธิที่พึงมีพึงได้ในฐานะ ข้าราชการพลเรือนแล้ว ยังต้องขาดโอกาสและความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งขณะยื่นคำฟ้องนี้ นายชัยวัฒน์ยังเหลือระยะเวลารับราชการได้อีกไม่เกิน 2 ปี เท่านั้น อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงตามคำชี้แจงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯว่า ภายหลังจากมีคำสั่งปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯและสิ่งแวดล้อมได้มีคำสั่งที่ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก ระดับสูงสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์แทนนายชัยวัฒน์ ซึ่งหากศาลได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่พิพาทในภายหลัง นายชัยวัฒน์อาจไม่มีโอกาสได้กลับเข้ารับ ราชการในตำแหน่งเดิม
ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามอุทธรณ์ในประเด็นนี้ว่านายชัยวัฒน์ สามารถใช้สิทธิ เรียกร้องค่าเสียหายจากคำสั่งพิพาทได้เห็นว่า คดีนี้นายชัยวัฒน์มิได้มีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชดใช้ค่าเสียหายจากการมีคำสั่งดังกล่าว และแม้ว่าในภายหลังนายชัยวัฒน์จะได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ
มีคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาด้วยก็ตาม แต่การฟ้องเรียกค่าเสียหายย่อมไม่อาจที่จะทดแทนความเสียหายต่อสถานภาพ แห่งสิทธิและหน้าที่ของนายชัยวัฒน์ในกรณีนี้ได้อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามในประเด็นนี้ จึงฟังไม่ขึ้น จึงเห็นได้ว่า การให้คำสั่งพิพาทมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความ เสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง ซึ่งการที่ศาลฯจะมีคำสั่งทุเลา การบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่พิพาทมีผลเพียงให้นายชัยวัฒน์กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิม ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น และ ถือเป็นมาตรการทางกฎหมายในการช่วยบรรเทาหรือยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แก่นายชัยวัฒน์ที่หากแม้ต่อมาศาลปกครองจะมีคำพิพากษาว่าคำสั่งทางปกครองนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นการยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้น มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว จึงเป็นเพียงวิธีการชั่วคราวก่อนการ พิพากษาเท่านั้น อีกทั้ง ข้อเท็จจริงในชั้นนี้ ปรากฏว่า หลังจากที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯได้มีคำสั่งแต่งตั้ง นายสุเทพ เกตุเวชสุริยา ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 แทนนายชัยวัฒน์ปัจจุบันนายสุเทพได้เกษียณอายุราชการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายชัยวัฒน์ไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว กรณีจึงยังไม่อาจถือได้ว่า คำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่พิพาท ไม่ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการบริหารงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการบริหารราชการแผ่นดิน ในการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องดูแลผืนป่าแต่อย่างใด กรณีจึงมีเหตุผลอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่พิพาทไว้เป็นการชั่วคราว