โฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบร่างประกาศ กค. ยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า หรือ เรือแบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ สร้างแรงจูงใจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในประเทศ ส่งเสริมไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคด้วย
วันนี้ (7 มี.ค.) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า หรือ เรือแบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของกิจการยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ให้มีความเข้มแข็ง สนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อให้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนด้วย
ทั้งนี้ ของที่ได้รับการยกเว้นอากรศุลกากร ได้แก่ ของและส่วนประกอบของ ของที่นำเข้าเพื่อประกอบหรือผลิตเป็นยานยนต์ไฟฟ้า หรือเรือแบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ รวม 9 รายการ ดังนี้ 1) แบตเตอรี่ (battery) 2) มอเตอร์ขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า (traction motor) 3) คอมเพรสเซอร์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 4) ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) 5) ระบบควบคุมการขับขี่ 6) ออนบอร์ดชาร์ทเจอร์ (on-board charger) 7) ดีซี/ดีซี คอนเวอร์เตอร์ (DC/DC converter) 8) อินเวอร์เตอร์ (inverter) รวมถึง พีซียู อินเวอร์เตอร์ PCU inverter 9) รีดักชัน เกียร์ ( reduction gear)
เงื่อนไขการได้รับการยกเว้นอากร ต้องเป็นของที่นำเข้ามาตั้งแต่วันที่ประกาศนี้ใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เพื่อประกอบหรือผลิตเป็นยานยนต์ไฟฟ้าหรือเรือแบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ มีหนังสือรับรองจากสถาบันยานยนต์ว่าเป็นของหรือส่วนประกอบของของสำหรับนำมาเพื่อประกอบหรือผลิตเป็นยานยนต์ไฟฟ้าหรือเรือแบบพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และต้องนำไปใช้ประกอบหรือผลิตเป็นยานยนต์ไฟฟ้าหรือเรือแบบไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่นำเข้าของ หากมีเหตุขัดข้องสามารถขอขยายระยะเวลาการผลิตได้อีกไม่เกิน 6 เดือน สำหรับของที่ได้รับการยกเว้นอากรหากไม่สามารถหรือไม่ได้นำไปใช้ประกอบหรือผลิต ภายในเวลาที่กำหนดให้ผู้นำเข้าของเข้าส่งของนั้นออกไปนอกราชอาณาจักรหรือชำระอากรโดยถือเป็นสภาพของของ ราคาและอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำของเข้า
ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
“กระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่า รัฐอาจจะสูญเสียรายได้จากอากรขาเข้าโดยเฉลี่ยประมาณ 3,143 ล้านบาทต่อปี แต่จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในประเทศ ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคด้วย