โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ รับทราบผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 43 เดือน อยู่ที่ระดับ 93.9 พร้อมเดินหน้าสนับสนุนทุกปัจจัยฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันนี้ (23 ก.พ.) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมกราคม 2566 ว่าอยู่ที่ระดับ 93.9 ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 43 เดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สำรวจความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ 1,321 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2565 ที่ระดับ 92.6 มาอยู่ที่ระดับ 93.9 ในเดือนมกราคม 2566 โดยพิจารณาจากองค์ประกอบของค่าดัชนี ทั้งดัชนีคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ ยกเว้นต้นทุนประกอบ
ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจำเดือนมกราคม 2566 จากการประมวลผลข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสำนักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ ยังพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคเดือนมกราคม 2566 ในภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นในภาคบริการ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินนโยบาย และโครงการของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนในการเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ เพิ่มอุปสงค์ในประเทศ ทั้งสินค้าคงทนและสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการช้อปดีมีคืนที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ และการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมของรัฐบาลสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 101.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้น จาก 99.9 ในเดือนธันวาคม 2565 จากการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ประกอบกับการเปิดประเทศของจีนที่ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทย รวมถึงการที่จีนนำเข้าสินค้าของไทยเพิ่มมากขึ้น
“นายกรัฐมนตรีพร้อมประเมินสถานการณ์ ดูแล สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าเต็มรูปแบบเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ทั้งจากในและต่างประเทศ และตระหนักถึงปัจจัยความห่วงกังวลจากสถานการณ์ความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลก เชื่อมั่นว่ารัฐบาลพร้อมเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง พัฒนาข้อได้เปรียบเพื่อจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนหรือย้ายฐานการผลิตมาไทย รวมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการดึงดูดการลงทุนที่ใช้แรงงานเป็นหลัก มาเป็นกิจการที่ใช้ทักษะขั้นสูง ซึ่งจะทำไปพร้อมกับการพัฒนาแรงงานไทยให้เป็นแรงงานนวัตกรรม เร่งเดินหน้าพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ประกอบกับสั่งการเดินหน้าหาตลาดใหม่จากมิตรประเทศทั่วโลก ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้สามารถรักษาโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในอนาคต” นายอนุชา กล่าว