ศาล ปค.กลาง พิพากษาเพิกถอนประกาศรับสมัคร ผอ.สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย ชี้ กำหนดคุณสมบัติผู้สมัครไม่ชอบ-เลือกปฏิบัติ
วันนี้ (22 ก.พ.) ศาลปกครองกลางพิพากษาเพิกถอนประกาศสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) ที่ 1/2566 เรื่องรับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย ลงวันที่ 3 ม.ค. 66 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศ และให้คำสั่งทุเลาการบังคับตามประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก พ.อ.ศุภณัฏฐ์ หนูรุ่ง อดีตรองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ยื่นฟ้อง คณะอนุกรรมการสรรหาผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย คณะกรรมการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 ว่า การกำหนดคุณสมบัติตนเอง เนื่องจากตำแหน่งรองผู้บริหารบริษัทเอกชน รองอธิการบดี คณบดีสถาบันการศึกษาแต่ตนเองซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง กลับไม่สามารถสมัครได้ จึงเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม แล้วไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศดังกล่าวระบุเหตุผลว่า คณะอนุกรรมการสรรหาฯ มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของบุคคลที่มีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักความเสมอภาค ตามมาตรา 27 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการที่คณะอนุกรรมการสรรหาฯ กำหนดคุณสมบัติเฉพาะเกี่ยวกับประสบการณ์ด้านการบริหารงานของบุคคลที่มีสิทธิสมัครเข้ารับการคัดเลือก เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยไว้ในประกาศรับสมัครฉบับลงวันที่ 3ม.ค.66 โดยในส่วนของผู้บริหารบริษัทเอกชน ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา คณะอนุกรรมการสรรหาฯ กำหนดว่า ต้องดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งในระดับรองของตำแหน่งบริหารสูงสุด กล่าวคือ หากบุคคลนั้นดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการบริษัทเอกชน รองผู้ว่าการหรือรองผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจ หรือรองอธิการบดีหรือคณบดี ก็มีสิทธิที่จะสมัครเข้ารับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยได้
ขณะที่หากพิจารณาตำแหน่งรองอธิบดีซึ่งเป็นตำแหน่งรองผู้บริหารราชการส่วนกลางระดับกรม และมีขอบเขตภารกิจในการบริหารราชการในอำนาจหน้าที่ตามที่อธิบดีมอบหมาย ไม่ว่าจะเป็นภารกิจบริหารราชการของกรมในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือภารกิจบริหารราชการของหน่วยงานในสังกัดกรมที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด หรือภารกิจสนับสนุนราชการส่วนภูมิภาคที่อยู่ในสังกัดกรม เห็นได้ว่า ภารกิจในอำนาจหน้าที่ดังกล่าวของรองอธิบดีมีอยู่อย่างกว้างขวาง ทั้งในเรื่องของการบริหารแผนงาน โครงการ กิจกรรม การบริหารงานบุคคล รวมทั้งการบริหารงบประมาณ ซึ่งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีย่อมต้องมีประสบการณ์ในการบริหารงานมากพอสมควรจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้ ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากตำแหน่ง หน้าที่ ความรับผิดชอบ รวมถึงการจัดโครงสร้างองค์กรของราชการส่วนกลางระดับกรม บริษัทเอกชน รัฐวิสาหกิจ และสถาบันอุดมศึกษาประกอบกันแล้ว ไม่มีข้อพิสูจน์ใดที่จะแสดงให้เห็นโดยประจักษ์ว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีจะมีประสบการณ์ในการบริหารงานที่ด้อยกว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการบริษัทเอกชน รองผู้ว่าการหรือรองผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจ หรือรองอธิการบดีหรือคณบดีของสถาบันอุดมศึกษา ถึงขนาดที่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีจะไม่อาจสมัคร เข้ารับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยได้
การที่คณะอนุกรรมการสรรหาฯกำหนดคุณสมบัติเฉพาะเกี่ยวกับประสบการณ์ด้านบริหารงานโดยมิได้พิจารณาถึงความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ของบุคคลที่เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีอย่างถูกต้องและเหมาะสมตามภารกิจความรับผิดชอบในตำแหน่งดังกล่าว จึงไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นควรค่าแก่การรับฟังว่า พ.อ.ศุภณัฏฐ์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองอธิบดีจะไม่มีประสบการณ์ด้านบริหารงานที่จะสมัครเข้ารับการคัดเลือก เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยได้ ทั้งยังเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อ พ.อ.ศุภณัฏฐ์ อันขัดต่อหลักความเสมอภาค ตามมาตรา 27วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญประกาศรับสมัครดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ คดีนี้อธิบดีศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน ตามข้อ 49/2 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 เพื่อให้ศาลสามารถพิจารณาพิพากษาคดีให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วตามลักษณะคดีที่มีความจำเป็นต้องพิจารณาโดยเร่งด่วน ซึ่งคดีนี้ศาลปกครองกลางพิจารณาพิพากษาคดีเสร็จสิ้นภายในเวลา 23 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้อง