ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “เศรษฐา” ให้คำมั่นยังอยู่แสนสิริอีกนาน สัญญาณนี้ส่งถึง “โทนี่” ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” ชักติดลม เชื่อตัวเองเป็นนายกฯ ได้!!
อุบไต๋ปล่อยให้เกิดกระแสสงสัยกันว่า... ใครคือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทย มาพักใหญ่ๆ โดยเฉพาะ “เศรษฐา ทวีสิน” ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ถูกโยงเป็นคนที่ “โทนี่ วู้ดซั่ม” ทักษิณ ชินวัตร เคาะมาว่าเหมาะสมมากกว่าลูกสาว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ที่เล่นบทเป็น “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” เคลื่อนไหวเป็นตัวแทนพ่อในพรรค ของตระกูลชินวัตร
ที่ผ่านมา ปะหน้าสื่อทีไร “เศรษฐา” ก็มักถูกตั้งคำถามการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของพรรคเพื่อไทย เพราะไหนๆ เป็นตัวเต็งแคนดิเคตนายกฯทั้งที แต่ท่าทีของเจ้าตัวที่แสดงออกแม้ไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ตอบรับเสียทีเดียว รวมไปถึงเหตุผลพลิ้วๆ ที่ไม่ได้ร่วมลงพื้นที่หาเสียงกับ “อุ๊งอิ๊ง” แต่ “ส่งกำลังใจ” ให้แทน
เรียกว่า ทุกความเคลื่อนไหวของ “เศรษฐา” ล้วนมีแต่คนจดจ้อง หาคำตอบว่า ผู้ปลุกปั้นแสนสิริ จะเอาอย่างไรกับชีวิต? ไม่เว้นแม้แต่ในงานแถลงข่าวประจำปีของบริษัท เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.)
ฟังว่า “เศรษฐา” ที่ถูกโยง ว่าที่แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย เอื้อนเอ่ยทักทายผู้เช้าร่วมงานก็เข้าท่อนฮุกโดยทันที ว่า วันนี้เป็นการแถลงเกี่ยวกับแผนธุรกิจ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอื่น เพราะที่ผ่านมา ก็อยู่ด้วยกันมาตลอด และคงอยู่ด้วยกันต่อไปอีกนานๆ
โปรดฟังอีกครั้ง ..อยู่นานๆ ไม่พอ “เศรษฐา” ยังว่า จากนี้ไปคงได้เจอกันบ่อยขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องอื่นไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่เรื่องของแสนสิริ มีอะไรดีๆ ที่จะเดินไปข้างหน้า
ท่าทีครั้งนี้ที่บอกว่า “จะยังอยู่แสนสิริต่อไปนานๆ” ของเศรษฐา ก็ไม่รู้ว่าจะแทนคำตอบถึงอนาคตการเมืองที่คนอยากรู้ได้หรือไม่ ?
ที่แน่ๆ น่าจะเป็นการส่งสัญญานถึง “โทนี่ วู้ดซั่ม” ให้ทำใจหรือไม่ จากที่มั่นใจว่า “เศรษฐา” คือ ตัวเลือก “นอมินี” เบอร์ 1 ที่จะเอามาขายแทนหรือ เป็นแพ็กคู่ “อุ๊งอิ๊ง” ลูกสาวที่ถูกมองว่ายังเด็กเกินไปก็อาจจะต้อง คิดใหม่ ทำใหม่ หรือเปล่า
เดิมนั้น “ทักษิณ” เคาะชื่อแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งเสนอได้พรรคละ 3 คน ให้เพื่อไทยเสนอ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นลำดับแรก ขณะที่ “อุ๊งอ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เป็นลำดับสอง ส่วนลำดับสามเป็นใครสักคนในพรรค ก็ว่ากันไป แต่ทำไปทำมา ป่านนี้พรรคก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
หนึ่งนั่นก็ต้องยอมรับว่า แม้ในสายตาของ “โทนี่” จะเชื่อมั่นว่า “เศรษฐา” ตอบโจทย์ มีคุณสมบัติเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และแม้ว่าจะมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลชินวัตร แต่ในแง่ของประขาชนฐานเสียงของเพื่อไทย “เศรษฐา” เป็นใคร? ยังถูกถามกันเสมอ
ขณะเดียวกัน ตั้งแต่สัญญาณการเมืองห้วงเวลาการเลือกตั้งเริ่มดัง “แพทองธาร” ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นตัวแทนสายตรงชินวัตร ลงพื้นที่ ได้สัมผัสเสียงเชียร์ และเชลียร์ตัวเองก็เริ่มติดลม เคลิบเคลิ้มไปตามเสียง จากเหนียมๆ ชักมั่นอกมั่นใจขึ้นว่า ตัวเองก็น่าจะเป็นนายกฯ ได้เหมือนกัน
วันนี้กับเมื่อวานต่างกันไปแล้ว นี่คือ เหตุผลอีกข้อที่ “โทนี่” คนคุมเกมจะชั่งตาชั่งเลือกแบบไหน
จากที่วาง “เศรษฐา” ไว้เบอร์ 1 น่าสนใจว่า “โทนี่” จะขยับลูกสาว เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับแรก ของพรรคเพื่อไทย ไว้สู้กับลุงๆ หรือไม่ ?
หากว่าชู “อุ๊งอิ๊ง” ขึ้นแท่นนายกฯหญิงตามรอย “อาปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมด้วยโปรโมชันพาพ่อ “โทนี่” กลับบ้าน งานนี้จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามกันต่อไป
**เปรียบ “ลุงป้อม” เป็น “เล่าปี่” ระดมคนเก่งมากอบบ้าน กู้เมือง อ้าแขนรับ “สองกุมาร” เสริมแกร่งทีมเศรษฐกิจ พปชร.
หลังมีข่าวปิดดีลสายฟ้าแลบไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.) “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มีจุดหมายทางการเมืองอยู่ที่การเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ก็ได้เปิดตัว “สองกุมาร” อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่กลับมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร. อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ กลุ่ม “สี่กุมาร” ที่ประกอบด้วย “อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์-สุวิทย์ เมษินทรีย์-กอบศักดิ์ ภูตระกูล” โดยมี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เป็น “ซือแป๋” เป็นผู้อาวุโสของกลุ่ม นับเป็นผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ สู้ศึกเลือกตั้งเมื่อปี 62 มาแล้ว โดย “อุตตม” เป็นอดีตหัวหน้าพรรค ส่วน “สนธิรัตน์” เป็นอดีตเลขาธิการพรรค
แต่ด้วยวิถีการเมืองภายในพรรคที่กลุ่มสี่กุมาร ไม่มี ส.ส.ในมุ้งของตนเองทำให้มีปัญหาเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรี สุดท้ายก็ต้องแยกจากกัน โดย “สองกุมาร” คือ อุตตม และ สนธิรัตน์ ออกมาตั้งพรรค “สร้างอนาคตไทย” โดยมี “สมคิด” เป็นพี่เลี้ยง
เพราะด้วยกติกาเลือกตั้งใหม่ แบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบนั้น ไม่เอื้อต่อพรรคการเมืองขนาดเล็ก พรรคตั้งใหม่... ก่อนหน้านี้จึงมีการเจรจารวมพรรคระหว่าง “สร้างอนาคตไทย” กับ “ไทยสร้างไทย” ของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มีการนัดเจรจา ถ่ายภาพออกสื่อด้วยกัน บอกจะเป็นพันธมิตรกัน ยังไม่ถึงขั้นยุบรวมพรรค
แต่สุดท้าย “ลุงป้อม” ที่ชั่วโมงนี้ยึดสโลแกน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ก็ชิงปิดดีลแบบสายฟ้าแลบ ดึง “สองกุมาร” มาร่วมพรรคเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ลุงป้อม” ตั้งเป้าที่ ส.ส.150 ที่นั่ง เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องเร่งสร้างภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อดึงดูดคะแนนเสียง ...การได้ “สองกุมาร” มาร่วมพรรค ก็เหมือนได้ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นแบ็กเสริมทีมเศรษฐกิจของพรรคให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะก่อนหน้า ถ้าพูดถึงทีมเศรษฐกิจของพรรค พปชร.ก็จะมีเพียง “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” และ “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” เท่านั้น
ขณะที่ “สองกุมาร” ก็เห็นชัดว่า หลังการเลือกตั้งโอกาสที่ พปชร.จะได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลนั้น มีโอกาสสูงมาก ...ดีลนี้จึงลงตัวแบบไม่ต้องเจรจากันเยิ่นเย้อ
“ลุงป้อม” กล่าวต้อนรับการเปิดตัวสองกุมาร ว่า ถือเป็นเกียรติกับพรรค พปชร. เป็นอย่างยิ่ง ตนพูดไม่เก่ง แต่ฟังเก่ง แล้วฟังรู้เรื่องด้วย จึงอยากจะบอกกับทุกคนว่า พรรคของเราเป็นพรรคที่ก้าวข้ามความขัดแย้งทั้งหมด ฉะนั้น ทั้งสองคนจะมาช่วย พปชร.ในการดำเนินกิจกรรมการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อให้พรรคมีความเข้มแข็ง ในการที่จะรับใช้ประเทศชาติต่อไป
ขณะที่ “อุตตม” เปิดใจถึงสาเหตุที่กลับมา พปชร. ว่า เรื่องสำคัญสุดคือการสร้างความปรองดอง ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป ซึ่ง “ลุงป้อม” ได้มีความมุ่งมั่นชัดเจน ที่จะรวบรวมผู้คนจากหลายๆ ฝ่ายมาทำงานด้วยกัน อีกเหตุผลหนึ่ง คือ พวกตนเคยเป็นสมาชิกในบ้านหลังนี้ มีส่วนร่วมในการสร้าง คิดและผลักดันนโยบายของพรรค พปชร.มา เมื่อ “ลุงป้อม” ประกาศชัดเจนแล้วว่า จะนำพรรคขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเหล่านั้น เราจึงยินดีที่จะทำงานร่วมกับทุกคน ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะมีคนจากพรรคสร้างอนาคตไทย ทยอยตามกันเข้ามาอีก
ส่วน “สนธิรัตน์” บอกว่า ความรู้สึกในครั้งนี้ คือ เหมือนได้กลับบ้าน ได้กลับมาร่วมกันทำงานกับหัวหน้าพรรค ผู้บริหารพรรค สมาชิกพรรค ซึ่งการการกลับมาของตนกับ “อุตตม” คือ หนึ่งในสัญลักษณ์ที่ประเทศเราต้องการ... การเมืองอ่อนแอเพราะเราแตกเป็นส่วนกันมาก ทำให้ความเข้มแข็งทางสถาบันการเมืองอ่อนแอลง ...บรรยากาศการเมืองในขณะนี้ ต้องการความสมานฉันท์ และสถานการณ์การเมืองขณะนี้ ต้องการคนแบบ “ลุงป้อม” มาเป็นผู้นำ
ถ้าให้เปรียบเทียบกับ “สามก๊ก” นั้น “ลุงป้อม” ก็เปรียบเหมือน “เล่าปี่” ที่พยายามรวบรวมผู้คนเข้ามากอบกู้แก้ปัญหาบ้านเมือง และเชื่อว่า หลังจากนี้ พรรคพลังประชารัฐจะรวบรวมคนเก่งเข้ามาได้มากขึ้น ก็ต้องชื่นชม “ลุงป้อม” ถือเป็น “เล่าปี่” ตัวจริงของประเทศไทย
เพื่อเป้าหมายการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ... “ลุงป้อม” นอกจากจะปรับลุคการแต่งกายระหว่างลงพื้นที่ พบปะประชาชน ให้ดูวัยรุ่น กระฉับกระเฉงขึ้น ทักทายประชาชนอย่างเป็นกันเอง ยิ้มแย้มแจ่มใสร่วมถ่ายภาพอย่างไม่เคอะเขิน ไม่ต้องมีการ์ดมาล้อมหน้าล้อมหลัง... ที่สำคัญคือ ยังมีการระดมคนเก่าๆ ให้มาผนึกกำลังกันใหม่ด้วย
ที่มาแล้ว อาทิ ก๊วน “ผู้กองธรรมนัส” และทีมงานที่จะมาดูแลพื้นที่เลือกตั้งภาคเหนือ... “สกลธี ภัททิยกุล” อดีตรองผู้ว่าฯกทม. ก็กลับมารับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีม ดูแลสนามเลือกตั้งกรุงเทพฯ ...ยังมี “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เพื่อนเลิฟของ “ลุงป้อม” ก็ลาออกจากหัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร.แล้วเช่นกัน
ล่าสุด การเข้ามาเสริมแกร่งของ “สองกุมาร” ทำให้เห็นภาพว่า หาก พปชร.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะมีทีมที่จะมารับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องได้
และ “ลุงป้อม” คงไม่หยุดเพียงแค่นี้ ขอให้จับตาหลังจากนี้ไปจนถึงช่วงยุบสภา ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนก.พ.หรือต้นเดือน มี.ค. เชื่อว่า จะมีดีลกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง เข้ามาร่วมกับ พปชร.อีกแน่นอน