“รองโฆษก พท.” อัด รัฐบาลบิ๊กตู่ อยู่มา 8 ปี เพิ่งออก พ.ร.ก.อาชญากรรมไซเบอร์ บี้ “ชัยวุฒิ” แอกชันปราบแก๊งต้มตุ๋น ทุนจีนสีเทา ระบาดเกลื่อนเมืองไทย พิสูจน์ไทยไม่ใช่สวรรค์ธุรกิจสีเทา
นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และผู้ประสงค์สมัคร ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมติ ครม. 24 ม.ค. 66 อนุมัติร่าง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยตั้งคำถามว่าเหตุใดรัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม อยู่มา 8 ปีเพิ่งคิดทำเอาตอนนี้ ทั้งที่การออก พ.ร.ก.เป็นอำนาจเต็มของรัฐบาลที่ทำได้ทันที และทุกภาคส่วนเรียกร้องให้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังมานานมากแล้ว ที่ผ่านมา เกิดปัญหาภัยไซเบอร์มากมาย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีอำนาจอยู่เต็มมือ ต้องอธิบายกับสังคมให้ได้ว่าจงใจปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการให้เด็ดขาดหรือไม่ หรือดำเนินการล่าช้า เพราะอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ทำงานไม่เป็น จนเกิดเป็นหลักฐานความล้มเหลวคาตาประชาชนมากมาย ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บไซต์หลอกลวงและพนันออนไลน์ แอปพลิเคชันฝังมัลแวร์ล้วงข้อมูลประชาชนตลอดจนคดีออนไลน์กว่า 114,000 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 22,000 ล้านบาท
นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ตนเห็นด้วยกับเนื้อหาหลายส่วนใน พ.ร.ก. แต่ยังมีข้อกังวล 2 ประการเกี่ยวกับ “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ว่า 1.มีหน้าที่และอำนาจอย่างไรบ้าง เพราะควรมีความพอดีในอำนาจสิทธิขาด อย่าให้เกิดการให้อำนาจล้นจนละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชน และ 2. จะมีส่วนช่วยให้การแก้ปัญหาให้รวดเร็วขึ้นได้อย่างไร เพราะปัญหาเดิมที่แก้ไม่ได้คือความล่าช้าและไม่จริงใจในการดำเนินการ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอท. รวมถึง ปปง. ทำงานเหนื่อยอยู่ปลายทางไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีการแก้ไขเชิงรุก หรือเข้าไปดำเนินปิดกั้นเว็บไซต์ แอปพลิเคชันที่ผิดกฎหมายอย่างรวดเร็ว เช่น แอปพลิเคชันล้วงข้อมูลกว่า 200 แอปที่มีการตรวจพบแล้ว แต่กลับไม่ขยายผลสร้างระบบป้องกัน ทำเพียงประกาศให้ประชาชนสำรวจด้วยตัวเอง หรือกรณีมีการพัฒนาแอปเตือนเบอร์โทรศัพท์เข้าที่มีความเสี่ยงเป็นเบอร์หลอกลวง ที่รมว.ดีอีเอส เคยอ้างว่า กำลังพัฒนาอยู่ ก็ไม่เห็นมีความคืบหน้า ปล่อยให้ประชาชนโดนหลอกลวงซ้ำซากอยู่รายวัน สูญเสียทั้งทรัพย์สิน และชีวิตไปไม่น้อย
“วันนี้ รมว.ดีอีเอส ต้องทำให้ชาวโลกเห็นว่า ประเทศไทยไม่ใช่สวรรค์ของธุรกิจสีเทา ไม่ใช่ประเทศที่คนพวกนี้จะเข้ามาหาประโยชน์จากประชาชนจนเฟื่องฟู พวกเขารวยขึ้น แต่คนไทยถูกหลอกจนหมดตัว ประเทศไทยต้องไม่เป็นฐานที่มั่นของแก๊งต้มตุ๋นหลอกลวงอีกต่อไป” นายชนินทร์ กล่าว