หัวหน้า ชพก. เปิดนโยบายรื้อระบบสินเชื่อ ยกเลิก “แบล็กลิสต์บูโร” ใช้ระบบสะสมคะแนน ยันไม่ได้ล้างประวัติ แต่เป็นการช่วยเหลือคนมีหนี้ให้เข้าสู่ระบบ เชื่อ ช่วยคนติดแบล็คลิสต์ได้ 5 ล้านคน
วันนี้ (16 ม.ค.) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรค แถลงข่าวรื้อระบบสินเชื่อยกเลิก “แบล็กลิสต์บูโร” ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของว่าตนเป็นตัวแทนของประชาชน ถือว่าหนักใจเรื่องภาระหนี้สิน ซึ่งเป็นปัญหามานานและเพิ่มความหนักหนาสาหัสมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่าของชีพเพิ่มขึ้น แต่โอกาสในการทำมาหากินน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นด้วยพิษโควิดหรือเหตุผลใดก็ตาม ตนได้ต่อสู้กับเรื่องนี้มานานกว่า 10 ปี ตอนนั้นมีวิกฤตเศรษฐกิจ ตนได้เข้าไปทำงานในกระทรวงการคลัง หนึ่งในเรื่องที่ต้องเร่งทำอย่างเร่งด่วนคือ การแก้ปัญหาประชาชนกู้ยืมแต่ดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรมนอกระบบ
“ครั้งนั้นเราออกนโยบายออกมา เพื่อช่วยแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม โดยหาวิธีโอนหนี้ที่อยู่กับนายทุน ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยเดือนละ 20-40% เข้ามาเป็นหนี้ในระบบ โดยเราใช้กลไกธนาคารของรัฐ นำโดยธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และปรับลดเบี้ย ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จ และแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ครึ่งล้านคน สะท้อนให้เห็นว่าวิธีการแก้ไขปัญหาขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และนำองคาพยพของรัฐ”
นายกรณ์ กล่าวว่า ตนได้ติดตามว่าผลการแก้ไขปัญหาหนี้สินครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างไร โดยความเชื่อส่วนตัว มองว่า หากประชาชนที่มาเข้าร่วมจะเข้าเกณฑ์ ต้องมีเกณฑ์ที่ทำมาหากิน
“เราตัดเลยว่าใครเกิดปัญหาหนี้สิน ติดการพนัน ซื้อเหล้า และไม่ทำงาน ตัดออก งานนี้มีไว้เพื่อช่วยผู้ที่มีความพร้อม และมีความตั้งใจที่จะช่วยตัวเองด้วย”
นายกรณ์ ย้ำว่า สิ่งที่ตนพบ หากคนทำมาหากินสามารถที่จะแบกรับภาระกับหนี้นอกระบบได้ เดือนละ 10-20% ทำไมเดือนละ 1% จะแก้ปัญหาไม่ได้ หากเข้ามาสู่ในระบบ ตนพบว่า 5-6 แสนคน สามารถจ่ายได้ มองว่าหากให้โอกาสคนยากจนที่ตอนนี้ขาดโอกาสในการกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ชีวิตเขาจะดีขึ้น แลัไม่เสียเรื่องวินัยทางการเงิน จากตอนนั้น ก็มีการออกกฎหมายเรื่องการออม และให้ความสำคัญมาโดยตลอด จนมาถึงกระทั่งตอนตั้งพรรคชาติพัฒนากล้า ก็ยังพบว่าเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสมากขึ้น
“แบล็กลิสต์มีจริง วันที่เขาไปขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน เขาปฏิเสธเรา เพราะเรามีประวัติในอดีตในการสะดุดการชำระหนี้สินที่อาจจะเคยมี”
นายกรณ์ ย้ำว่า นโยบายนี้พรรคชาติพัฒนากล้า ไม่ได้ตั้งใจมาล้างประวัติใคร ไม่ได้มายกเลิกเรื่องเครดิตบูโร เรื่องของหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบยังต้องมี แต่สังคมเราต้องให้โอกาสคนที่จะฟื้นคืนชีพทางเศรษฐกิจกลับมาได้ ให้โอกาสคนจนที่เค้าจะซื้อของกลับมาขายมีกำไรเลี้ยงลูก พ่อแม่ และครอบครัวได้ เพราะฉะนั้นการยกเลิกเครดิตบูโรไม่ใช่ยกเลิกเพื่อล้มหรือล้างประวัติ เพียงแต่เปลี่ยนระบบ แทนที่จะเอาเรื่องไม่ดีของประชาชนมาบรรจุไว้ในบัญชี ควรที่จะเอาเรื่องดีๆของเขา มาเป็นคะแนนเป็นเครดิตให้เขาด้วย และกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามคะแนนที่มี
“วันนี้ที่เราเสนอวันนี้ ขอบอกออกหน้าเลยว่าเราไม่ได้มาล้างประวัติ ตัดสังคมต้องหาโอกาสในการฟื้นคืนชีพเศรษฐกิจ เปลี่ยนระบบ”
นายกรณ์ ระบุว่า นโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหลายล้านคนที่ติดเครดิตบูโร จะทำให้ผลต่อความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ด้าน นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า เรายืนยันว่า แบล็กลิสต์บูโรมีจริง โดยระบบบูโรในปัจจุบันเป็นการแจ้งแบบแบล็กลิสต์ รายงานแบบประวัติอาชญากร ซึ่งใช้เวลา 3 ปี ในการเก็บ
“รายเดือนแต่ละเดือน เขาจะบอกว่าเดือนไหนผิดปกติ ก็จะขึ้นรหัสผิดปกติ กลับมาดีแล้วก็จะขึ้นรหัสดีแล้ว แต่เขารายงานเหมือนประวัติอาชญากร 3 ทปีติดต่อกัน ซึ่งจะเป็นรอยด่างพร้อยทั้งสิ้น”
นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า ในบางประเทศกับระบบการให้คะแนนมากกว่าแบล็กลิสต์ มีทั้งข้อมูลรายได้ ข้อมูลสินเชื่อ ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดีแล้วประเมินเป็นคะแนน แต่ประเทศไทยเป็นระบบรายงาน ซึ่งเป็นรอยด่างพร้อย ตนถามว่า แล้วมีนักรบที่ไหนบ้างที่ไม่เคยมีรอยบาดแผลจากการทำศึก เชื่อว่า หากสำเร็จจะสามารถช่วยเหลือคนได้มากกว่า 5 ล้านคนทั่วประเทศ
“บ้านเรา มีนักรบไหนบ้างที่ไม่เคยมีรอยไม่ดี คนที่เข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ แบงก์เขาไม่ปล่อย ปล่อยคนที่รอดแล้ว”
ขณะที่ประชาชนที่มาให้การสนับสนุนนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าในวันนี้ กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาตลอ ว่า เป็นนโยบายที่ดี เพราะที่ผ่านมา ตนติดหนี้บัตรเครดิตถึง 3 ใบ เนื่องจากคุณตาไม่สบาย ทำให้ต้องพึ่งบัตรเครดิต และนำบัตรเครดิตมากดเป็นเงินสด ต้องชำระขั้นต่ำ เมื่อตนทำงานบริษัทก็ต้องถูกหักจากเงินเดือน 20-30%
“อย่างบางเดือนเงินเดือนหนูไม่พอ ก็จะโดนหมายศาลมาที่บ้าน แล้วเราก็ต้องไปขึ้นศาล จะว่าหนีหนี้ก็ได้ เพราะหนูออกจากบริษัทนั้นเลย เพื่อที่จะต้องไปหางานใหม่ที่ไม่มีประกันสังคม รอบัตรเครดิตเขาจะตามเราทำประกันสังคม พอมาทำบริษัทใหม่เราก็จะมีเงินเดือนเต็ม แล้วเราก็เอาเงินเดือนนั้นไปจ่ายหนี้ ทำให้อาชีพเราหลุดจากระบบไปเลย”