“ประยุทธ์” เปิดทำเนียบหารือ เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมผลักดันความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และความร่วมมือระหว่างภูมิภาค
วันนี้ (12 ม.ค.) เวลา 13.30 น. นายซัยฟ์ อับดุลลอฮ์ มุฮัมมัด คอลฟาน อัชชามิซีย์ (H.E. Mr. Saif Abdulla Mohammed Khalfan Alshamisi) เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่ออำลาในโอกาสพ้นหน้าที่ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นระยะเวลาเกือบ 8 ปี หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่า จะได้นำความประทับใจในไทยไปเผยแพร่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ พร้อมแสดงความยินดีกับความสำเร็จในการจัดการประชุม World Government Summit และ Dubai World Expo 2022 ซึ่งไทยได้เข้าร่วมการจัดแสดงด้วยภายใต้ชื่ออาคารศาลาไทย ที่สามารถแสดงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยและศักยภาพของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ทั้งนี้ ขอให้ทั้งสองประเทศเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกัน โดยไทยพร้อมสนับสนุนและแลกเปลี่ยนความร่วมมืออย่างรอบด้านต่อไป
เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในไทย พร้อมขอบคุณการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่มีความใกล้ชิด จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและต่อยอดในมิติๆ อื่น ร่วมกันได้อีกมาก โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว โดยยืนยันที่จะเป็นตัวแทนสานต่อความร่วมมือเพื่อผลักดันประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันให้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ
ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือด้านต่างๆ ดังนี้
ด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะใช้ประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่เดิมมาพัฒนาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่ทั้งสองฝ่ายลงนามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับการติดต่อและสานความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานราชการของทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี
ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ที่สำคัญของไทยในตะวันออกกลาง เห็นถึงศักยภาพที่ทั้งสองสามารถเป็นประตูเชื่อมโยงความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคได้อีกมาก รวมไปถึงด้านความมั่นคงทางอาหาร ไทยมีความพร้อมผลิตอาหารที่มีคุณภาพเพื่อส่งออกได้ ขณะที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ฯ เห็นพ้อง และยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เชี่ยวชาญ
ด้านการท่องเที่ยว เอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีแนวทางที่จะเพิ่มเที่ยวบินอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการท่องเที่ยวระหว่างกันในอนาคต ซึ่งปัจจุบันมีสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินตรง เส้นทาง กรุงอาบูดาบี-กรุงเทพฯ และ กรุงอาบูดาบี-ภูเก็ต และสายการบิน Emirates เที่ยวบินตรง เส้นทางเมืองดูไบ-กรุงเทพฯ โดยนายกรัฐมนตรียินดีที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Medical Tourism ซึ่งไทยพร้อมที่จะผลักดันและแสวงหาแนวทางเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
ด้านความร่วมมือในเวทีระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรียินดีที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศอาหรับประเทศแรกที่ได้รับสถานะคู่เจรจาเฉพาะสาขา (Sectoral Dialogue Partner: SDP) ของอาเซียนเชื่อมั่นว่าจะมีบทบาทในการส่งเสริมความร่วมมือในกรอบอาเซียนและเป็นสะพานเชื่อมในการฟื้นฟูและกระชับความสัมพันธ์ อาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือระหว่างรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council: GCC) โดยเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เชื่อมั่นว่า ไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะสามารถสานต่อความร่วมมือระหว่างภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีฝากความปรารถนาดีและคำอวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ไปยังรัฐบาลและประชาชนชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วยความรัก ความห่วงใย และความปรารถนาดี ซึ่งขอให้ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อนำพาให้ประเทศเดินหน้าและฟื้นฟูภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ได้โดยเร็ว