“พี่แจ้” ฝากถาม “ประยุทธ์” ก่อนเปิดตัว “ร่วมพรรคการเมือง” จะเอาผิดทุนจีนสีเทา-ขรก.โกง อย่างไร ปชช.อยากรู้ “เพจเชียร์ลุง” รีบปกป้อง นายกฯ ไม่ได้หงุดหงิดสื่อปมหลานเอี่ยวทุนจีนสีเทา “เชาว์” แนะตั้งคณะ กก.อิสระ รื้อคดีสวนงูภูเก็ต หวั่นมวยล้ม
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (6 ม.ค. 66) เฟซบุ๊ก “ดนุพล แก้วกาญจน์ บ้านแสนรัก” ของ นายดนุพล แก้วกาญจน์ หรือ แจ้ นักร้องชื่อดัง มีการโพสต์ภาพ พร้อมข้อความว่า “ฝากเรียนท่านผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบฯ กราบเรียนถามท่านนายกรัฐมนตรี ว่า ก่อนที่ท่านจะเปิดตัวเปิดพรรค ประชาชนอยากให้ท่านนายกฯ “เปิดโปงลงดาบ” สั่งเอาผิดกับคดีใหญ่อันเป็นภัยกับชาติแผ่นดิน เช่น ทุนต่างชาติสีเทา/ส่วยซื้อขายตำแหน่ง ข้าราชการคอร์รัปชั่น เป็นต้น ด้วยความเคารพครับ ดนุพล แก้วกาญจน์”
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมเปิดตัวเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยจัดเป็นอีเวนต์ใหญ่ ในวันที่ 9 มกราคม นี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สถานที่จัดประชุมเอเปกที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เพิ่งออกมาเปิดโปงพฤติการณ์โกง นายตู้ห่าว กับพวก โดยช่วงหนึ่งระบุถึงการที่นายตู้ห่าวมีเงินซื้อรถยนต์โรลส์-รอยซ์ แต่ไม่จ่ายเงินผู้รับเหมา อีกทั้งรถทัวร์จำนวนกว่า 400-500 คันของบริษัท เอ็มแอนด์เอ็ม ทรานสปอร์ต เซอร์วิส จำกัด ที่หลายคนเข้าใจว่า เป็นบริษัทของตู้ห่าว แต่คนที่เป็นเจ้าของจริงๆ คือ หจก.แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของ หลาน พล.อ.ประยุทธ์
ขณะเดียวกัน เพจลุงตู่ตูน โพสต์ข้อความระบุว่า จากกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี เปิดกิจกรรมข้าวรักษ์โลกนั้น ในช่วงหนึ่งได้มีสื่อมวลชนถามว่า การมาลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรีในวันนี้ เพื่อดูเรื่องข้าวรักษ์โลกเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ รู้สึกว่าสื่อไม่ได้ให้ความสนใจกิจกรรมข้าวรักษ์โลก จึงย้อนถามกลับต่อสื่อมวลชนถึงกิจกรรมข้าวรักษ์โลก แต่กลับกลายเป็นสื่อเข้าใจว่า นายกฯ โมโหใส่สื่อ และมองว่า เป็นการเสียงดังกลบเกลื่อน เพื่อที่จะเลี่ยงตอบคำถามสื่อมวลชน
ทั้งนี้ ยืนยันว่า นายกฯ ลุงตู่ ไม่ได้หงุดหงิด หรือเสียงดังกลบเกลื่อนเพื่อเลี่ยงตอบคำถามสื่อ เพียงแต่ย้อนถามให้สื่อสนใจกิจกรรมข้าวรักษ์โลก ที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น เพราะเป็นเรื่องที่รัฐบาลตั้งใจผลักดันเพื่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องเกษตรกร
ทั้งนี้ วันที่ 6 ม.ค. 66 เวลา 12.18 น. ที่จังหวัดสิงห์บุรี ผู้สื่อข่าวสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่า การมาลงพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรีในวันนี้ การมาดูเรื่องข้าวรักษ์โลกเป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนถามว่า “ฟังก่อนๆ พวกเราดู เวลาที่นายกฯแต่ละคนไปที่ไหน นายกฯ ก็ดูแบบนายกฯ สื่อมวลชนไปที่ไหน สื่อดูตรงไหนบ้าง สื่อดูหรือไม่ว่าเขาทำอะไรตรงไหน วันนี้ เขาทำอย่างไรรู้หรือไม่ ควรต้องทำตรงนี้ด้วยถึงจะมาถามนายกฯ นะ นายกฯ ไม่ใช่คนขี้โมโห เข้าใจหรือเปล่า”
จากนั้นผู้สื่อข่าวอธิบายว่า ได้ดูแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จึงย้อนถามว่า ดูแล้วไหนตอบมา ตอบมาสิว่า ข้าวรักษ์โลกเป็นอย่างไร ซึ่งสื่อมวลชนพยายามอธิบายถึงรายละเอียดต่างๆ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามกลบเกลื่อน เพื่อจะไม่ตอบคำถามในเรื่องอื่น พร้อมกล่าวเสียงดังว่า “ฉันไม่ตอบอะไรหรอก พวกเธอไม่ต้องถาม ฉันไม่ฟังแล้ว ฉันจะไปตอบพวกเธอทำไม ในเมื่อตอบแล้วพวกเธอก็ไม่รู้เรื่อง”
จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม กรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.ออกมาพาดพิงว่า ผู้เป็นเจ้าของ หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งเป็นของหลาน พล.อ.ประยุทธ์ เกี่ยวโยงธุรกิจรถเช่าของตู้ห่าว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ฉันไม่ได้เป็นศัตรูกับพวกเธอ ฉันพยายามจะไม่หงุดหงิดอยู่แล้ว เข้าใจไหม”
เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามซ้ำคำถามข้างต้นอีก พล.อ.ประยุทธ์ หันหน้าทันที ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว ด้วยสีหน้าไม่พอใจ และรีบเดินหนีออกไปขึ้นรถทันที โดยเมื่อขึ้นรถ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลดกระจกลง พร้อมกล่าวว่า “สื่ออย่าให้มีปัญหา ฉันไม่เคยมีปัญหากับสื่ออยู่แล้ว สื่อดีๆ ก็เยอะ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง รื้อคดี “สวนงูภูเก็ต” นายกฯ ต้องออกโรงเอง ส่อ ซ้ำรอย “คดีบอส” สมคบคิด? โดยระบุว่า
เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ อัยการสูงสุด ไม่เพิกเฉยต่อกรณีที่ คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เปิดคลิป ชี้ให้เห็นถึงการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ของนายตู้ห่าว อวดเบ่งบารมี ใครทำอะไรได้ ให้ดูกรณีภูเก็ตเป็นตัวอย่าง และล่าสุด คุณวัชระ เพชรทอง นำเรื่องนี้ไปขยายผล ยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด เพื่อให้รื้อฟื้นคดีกันใหม่ ในฐานะทนายความ คิดว่า การรื้อฟื้นตัวคดีคงทำได้ค่อนข้างยาก เพราะต้องมีพยานหลักฐานใหม่จริงๆ เนื่องจากคดีถึงที่สุดไปแล้ว โดยแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ มีคำสั่งไม่ฟ้องตู้ห่าวและอดีตภรรยา (ขณะเกิดเหตุยังไม่ได้หย่าร้าง) และส่วนที่สอง มีการฟ้องคดีกับผู้ต้องหาบางราย แต่สุดท้ายศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น คือ ยกฟ้อง ดังนั้น สิ่งที่ควรทำคือ นำสำนวนทั้งหมดมารื้อดูใหม่ หากพบว่า มีการสมคบคิด ทำสำนวนให้เสียไปตั้งแต่ต้น ก็อาจเป็นเหตุให้มีการฟื้นคดีได้ เพราะน่าจะมีหลักฐานบางอย่างที่ถูกดึงออกจากสำนวนไป หรือหากรื้อตัวคดีไม่ได้ ก็ยังกลับไปสำรวจตรวจสอบ จัดการกับแก๊งค้าสำนวนได้ ในกรณีพบความผิดปกติในการทำสำนวนทั้งในชั้นตำรวจและอัยการ
ข้อมูลเชิงลึกที่ผมได้มา ออกแนวสมยอมกันระหว่างตำรวจกับอัยการ ทำสำนวนอ่อนมาตั้งแต่ต้น มีการวิ่งเต้นคดีมาจากข้างบน สั่งการมาระดับล่าง พออัยการสั่งไม่ฟ้อง ตำรวจก็แย้งพอเป็นพิธี เพื่อตบตาสังคมแค่นั้น ผมจึงค่อนข้างเห็นใจศาล เพราะหลายครั้งคดีใหญ่ๆ ที่สังคมจับตาต้องยกฟ้องกันไป จากเหตุลักษณะแบบนี้ คือ ทำสำนวนอ่อนมาตั้งแต่ต้น ขณะที่กระบวนการยุติธรรมไทยเป็นระบบกล่าวหา ศาลพิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏเท่านั้น ไม่มีอำนาจเรียกพยานหลักฐานนอกสำนวนมาสืบ หรือรับฟังพยานหลักฐานนอกสำนวนได้ ความจริงผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเกินมือของอัยการสูงสุด เพราะเกี่ยวพันกับองค์กรท่านเองด้วย เนื่องจากผู้สั่งไม่ฟ้องเป็นถึงอดีตอัยการสูงสุด จึงเสนอให้นายกฯ ตั้งคณะทำงานอิสระ รื้อคดีขึ้นตรวจสอบใหม่ทั้งหมด เหมือนกับที่นายกเคยตั้งคณะทำงานชุด นายวิชา มหาคุณ คดีบอสกระทิงแดง เพราะหากให้ตำรวจหรืออัยการรื้อสอบกันเองสังคมจะเชื่อใจได้อย่างไร
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ พลันตัดสินใจทำงานการเมืองอาชีพ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เจอกับด่านตรวจสอบ และท้าทายในฐานะนักการเมืองทันควันเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นประเด็น ปราบปราม “กลุ่มทุนต่างชาติสีเทา” และ ข้าราชการทุจริตคอร์รัปชัน ที่กำลังตกเป็นข่าว
รวมถึงปม หลานตัวเอง ถูกพาดพิงเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา “ตู่ห่าว” หรือไม่
ประเด็นเหล่านี้ ในฐานะคนที่อาสาจะเข้ามาแก้ปัญหาประชาชน เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นนักการเมืองอาชีพ จะเดินหนีสื่อมวลชนไม่ได้ หรือไม่สนใจคำถามที่สื่อมวลชนถามไม่ได้ เพราะนั่นเท่ากับว่า ไม่สนใจประชาชน และอาจถูกมองว่า ประเด็นที่พัวพันกับคนใกล้ชิด เป็นความจริง? เพราะไม่ยอมอธิบาย หรือ โต้แย้งอย่างมีเหตุมีผล
อย่าลืมว่า สื่อมวลชน ก็คือ คนที่จะสื่อสารกับประชาชน สาธารณชนวงกว้าง การไม่ตอบคำถาม จึงไม่ฉลาดมากนัก เพราะถือว่า ไม่ใช้โอกาสและช่องทางที่เปิดให้ ทำความเข้าใจในสิ่งที่มีคนกล่าหา
ยิ่งกว่านั้น ถ้าเรื่องแค่นี้ สอบไม่ผ่าน เรื่องอื่นก็อย่าคิดว่า จะผ่านได้ง่ายเหมือนอย่างเคย ที่ต้องไม่ลืมอย่างเด็ดขาด ก็คือ เป็นนักการเมืองแล้ว มียศนำหน้าหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับการทำงานเพื่อประชาชน