ตะแบงกันให้สุด! “ทักษิณ” โวย “ยิ่งลักษณ์” โดนหาเรื่องถูก ป.ป.ช. สอบปมย้าย “ถวิล” อ้างเลขาฯ สมช. ต้องเอาคนไว้ใจ “อัษฎางค์” ย้อนปมคดี แผนดัน “เพรียวพันธ์” ขึ้น ผบ.ตร. “กูรู” ชี้ “พี่โทนี่” ช่วยปลุกกระแส “คนรักลุงตู่”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (23 พ.ย. 65) จากกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นัดพิจารณาคดีครั้งเเรก (สอบคำให้การ) ในคดีหมายเลขดำที่ อม.11/2565 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตกรณีเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับพวก ใช้อำนาจโอน นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. ในขณะนั้นให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 54 โดยฟ้องเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา
เมื่อวานนี้ (22 พ.ย. 65) เพจ CARE คิด เคลื่อน ไทย เผยแพร่ความเห็นของ นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซัม อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ CARE ClubHouse หัวข้อ APEC 2022 จะปังแค่ไหน ถ้าให้พี่ “ตัวตึง” เป็นคนจัด มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า...
สมช.เป็นหน่วยงานที่ทำงานคู่กับนายกฯด้านความมั่นคง นายกฯต้องไว้ใจได้ ถ้าคนที่นายกฯไม่ไว้ใจ ต้องเปลี่ยน ส่วนใหญ่นายกฯจะมองหาทหารที่เข้าใจงานความมั่นคง แต่จุดอ่อนของ สมช.ในส่วนข้าราชการ คือ มักเก็บตัวเงียบ อย่างที่สหรัฐฯ เขามีระบบอุปภัมถ์ เขามีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งที่ให้ฝ่ายการเมืองเลือก เป็นเรื่องความไว้วางใจ เลขาฯสมช.เป็นตำแหน่งที่นายกฯต้องไว้ใจ ถ้าไม่ไว้ใจก็ต้องย้ายได้ นี่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนั้นผมคิดผิด ผมได้เลขาฯ สมช.มาเป็น เลขาฯ คมช.
ยิ่งลักษณ์ ย้ายถวิล ต้องถูก ป.ป.ช.สอบ และพ้นเป็นนายกฯ ถ้าจะหาเรื่องกัน ก็ควรเข้าท่ากว่านี้หน่อย นี่กลายเป็นเรื่องน่าขำทั่วโลก ทีประยุทธ์ย้ายตั้ง 80 คน นี่แหละบ้านเมืองไม่เป็นนิติรัฐ การลงทุนจากต่างประเทศลำบากมาก ถ้ายิงโอกาส ต้องยิงนัดเดียวได้นกหลายตัว คือ ต้องทำเขตเศรษฐกิจ จากฮ่องกงมาที่เรา แต่ลำบากที่ว่า จะทำยังไงให้กฎหมายเราเป็นสากล ถ้าเป็นสากล เขามาแน่ เมืองไทยของอร่อยเยอะ แต่กฎหมายไทยแบบนี้ เขาอยู่คือพัง ถ้าไม่เลิกเอากฎหมายมาเล่นงานนะ มันสะท้อนการทำลายชาติทางอ้อม
ด้านเพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพเตือนความจำใครพูดอะไรไว้บ้าง พร้อมข้อความระบุว่า
“กลิ่นคนแก่ ขี้อิจฉา ปล่อยวางไม่เป็น กลับบ้านไม่ได้ ลอยออกมาจากหน้าจอเลยครับ”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ของ นายอัษฎางค์ ยมนาค โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“ถูกกลั่นแกล้งหรือทำผิดกฎหมายแล้วโกหกซ้ำซาก”
ยิ่งลักษณ์โพสต์ว่า
“จากข่าวการออกหมายจับดิฉันจากการย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี มีประเทศไทยประเทศเดียว ที่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง ย้ายข้าราชการคนเดียว แล้วถูกดำเนินคดี ถูกกลั่นแกล้งไม่จบ”
………………………………………………………………..
ข้อเท็จจริงคือ
กันยายน 2554 ยิ่งลักษณ์สั่งย้ายนายถวิล เลขาธิการ สมช. แบบสายฟ้าแลบ ให้มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อจะย้ายพลตำรวจเอก วิเชียร (พจน์โพธิ์ศรี) ซึ่งเป็น ผบ.ตร. ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช.แทนนายถวิล ซึ่งจุดประสงค์หลักอยู่ของเรื่องนี้ คือ ความต้องการที่แต่งตั้งพลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ รอง ผบ.ตร. (พี่ชายคุณหญิงอ้อ พี่สะใภ้ของยิ่งลักษณ์) ที่จะเกษียณอายุราชการ 30 กันยายน 2555 ให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. แทนตำแหน่งที่ว่างลง เพราะ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ เหลือเวลาราชการเพียงปีเดียว จึงอยากให้น้าชายได้เป็น ผบ.ตร.ก่อนเกษียณ ใช่มั้ยล่ะ
………………………………………………………………..
Top News รายงาน Timeline เอาไว้ดังนี้
คดีเริ่มขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2554 นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้โทรศัพท์สั่งการให้สำนักเลขาฯ นายกฯ ทำเรื่องขอรับโอนนายถวิล มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ
สำนักเลขาฯ นายกฯ บันทึกข้อความลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ถึง นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความยินยอมรับโอนนายถวิลมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯฝ่ายข้าราชการประจำ รวมถึงมีบันทึกข้อความ ลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ถึง พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของ สมช. เพื่อให้ความเห็นชอบ ซึ่งทั้งสองคนให้ความเห็นชอบ อย่างไรก็ตาม วันที่ 4 กันยายน 2554 เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ
6 กันยายน 2554 ครม.เห็นชอบให้โอนนายถวิล มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯฝ่ายข้าราชการประจำ จากนั้นนางสาวยิ่งลักษณ์ มีคำสั่งให้นายถวิล มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีทันที จะเห็นได้ว่า มีการทำอย่างเร่งรีบ โดยแล้วเสร็จภายใน 4 วัน เท่านั้น
12 กันยายน 2554 นายถวิล ยื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม หรือ ก.พ.ค.
4 ตุลาคม 2554 ครม.อนุมัติตั้ง พลตำรวจเอก วิเชียร ผบ.ตร. มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช.
19 ตุลาคม 2554 นางสาวยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธาน ก.ต.ช. เสนอชื่อ พลตำรวจเอก เพรียวพันธ์ รอง ผบ.ตร. ที่จะเกษียณอายุราชการ 30 กันยายน 2555 ให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. แทนตำแหน่งที่ว่างลงต่อที่ประชุม ก.ต.ช. ซึ่ง ก.ต.ช.ก็ให้ความเห็นชอบ
………………………………………………………………..
ดังนั้น ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีย้ายข้าราชการคนเดียว แล้วถูกกลั่นแกล้ง ให้ถูกดำเนินคดี ตามที่ยิ่งลักษณ์บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือพยายามแถจนสีข้างถลอก
ความจริงคือ ยิ่งลักษณ์กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตโดยการใช้อำนาจโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. ในขณะนั้น ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 54
แปลเป็นภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ ได้ว่า
1) ยิ่งลักษณ์ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ด้วยการใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี โดยมิชอบ (แปลไทยเป็นไทยอีกทีได้ว่า เป็นการย้ายโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากนายถวิล ไม่ได้มีความผิด)
2) ทำให้ นายถวิล เปลี่ยนศรี (ซึ่งไม่มีความผิด) ต้องได้ความเสียหาย (เนื่องจากสังคมเข้าใจว่า ถูกย้ายเพราะกระทำผิดในหน้าที่)
คำว่า “เป็นการกระทำโดยมิชอบ” แปลเป็นภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า “เป็นการกระทำผิดกฎหมาย” ไม่ใช่อย่างที่ยิ่งลักษณ์พูดปดหรือบิดเบือนว่า “แค่ย้ายข้าราชการคนเดียว แล้วถูกดำเนินคดี ถูกกลั่นแกล้งไม่จบ”
3) สาเหตุที่ถูกออกหมายจับ ไม่ใช่ถูกกลั่นแกล้งไม่จบ แต่ถูกออกหมายจับ อันเนื่องมาจากยิ่งลักษณ์ไม่ยอมมาขึ้นศาล (เนื่องจากหนีความผิดอยู่ในต่างประเทศ)
ถ้อยคำกฎหมายที่ศาลพิจารณาตัดสิน คือ
“จำเลยมิได้มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ‘จึงออกหมายจับจำเลย’ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28 วรรคหนึ่ง”
คนโกหก หลอกลวงซ้ำซากแบบนี้หรือ ที่ชาวบ้านบอกว่าเป็นคนดี
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ระบุว่า
“ถ้าลุงตู่ออกจากพรรคพลังประชารัฐ
แล้ว ผลดีที่ลุงตู่ ได้รับ คือ (1) ความชัดเจนและมั่นใจ ว่าตัวเองมี ผู้สนับสนุนจริงๆ เท่าไร (2) ประชาชนที่ชอบลุงตู่ก็จะมีความชัดเจนเช่นกันว่าจะเลือกพรรคไหน ส่วนที่ไม่ชอบก็ไม่ต้องเลือกลุงตู่
(3) ในขณะเดียวกัน ลุงตู่ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ต่อ “พวกเขี้ยวลากดิน” บางคนที่อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ
(4) พรรคร่วมรัฐบาล ในปัจจุบันซึ่งยืนยันว่า จะไม่แก้ไข ม.112 ก็ยังสามารถ สนับสนุนลุงตู่อยู่เช่นเดิม โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
ถ้าลุงตู่ได้ ส.ส.มาเกิน 30 คน
(5) หลังการเลือกตั้งแล้ว ในที่สุด พรรคพลังประชารัฐ ก็จะเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล กับพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิม เพราะจะทรยศ ไปจัดตั้งรัฐบาลกับพวกที่เตรียมแก้ไข ม.112 ได้อย่างไร ลุงป้อมไม่ทำแน่
ส่วนผลเสียลุงตู่ ก็มีไม่น้อย เช่น ขุมกำลังต่างๆ เครือข่ายในระบบราชการ ฯลฯ จะน้อยกว่าทางลุงป้อมมาก
และยังต้องมาตัดคะแนนกันเองอีกด้วย นอกจากนั้น ลุงตู่ ยังไม่รู้ว่า
พรรคที่ไปอยู่ใหม่ “มีใครบ้าง” นอกจากตัวแกนนำแล้ว ฯลฯ
ทางรอดของลุงตู่ ที่จะนำพรรคใหม่ท่ีเพิ่งจะตั้ง ให้ชนะเข้ามาในจำนวนที่ไม่น่าเกลียด มีทางเดียว คือ การสร้างกระแส “รักลุงตู่” ขึ้นมาให้ได้ ซึ่งก็ไม่น่าจะยาก ถ้าทักษิณยังออกมาหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยอยู่เช่นเดิม และอุ๊งอิ๊ง ยังเป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทย ในตำแหน่ง นรม.อยู่เช่นเดิม
แต่ถ้า ทักษิณ เงียบ ลุงตู่ก็เหงาตามไปด้วยครับ”
แน่นอน, สิ่งที่เหลือเชื่อในความคิดของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ก็คือ ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ยอมถูกตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน
สรุปคือ คิดว่าสิ่งที่ตัวทำถูกทั้งหมด และถูกที่สุด แม้ว่า สิ่งนั้นจะเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ให้กับ “วงศาคณาญาติ” มากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม และมีพยานหลักฐานการทำผิดที่ชัดเจน จนบางคดีศาลตัดสินถึงที่สุด ให้จำคุก ก็ยังหลบหนีโทษไปอยู่ต่างประเทศ
และไม่ว่าจะเรื่องอะไร ข้ออ้างคำเดียวที่หยิบยกขึ้นมา ก็คือ “ถูกกลั่นแกล้งรังแก”
แล้วคนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ยอมรับถูกตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน ยอมรับคำตัดสินของศาล ซึ่งถ้าถึงที่สุด ต้องรับโทษ ก็ยอมรับโทษแต่โดยดี ทำไมเขาไม่อ้างว่า ถูกกลั่นแกล้งรังแก เขาไม่ฉลาดที่จะหลบเลี่ยง “ตะแบง” หรือ บิดเบือน รวมถึงไม่กล้าหลบหนี อย่างนั้นถือ?
เปล่าเลย! ประเด็นคือ ทุกคนเชื่อในระบอบประชาธิปไตย เชื่อใน “ระบบนิติรัฐ” เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทยต่างหาก
อย่า “โกหก” บิดเบือนความจริง เพื่อหลอกลวงคนไทยอีกต่อไปเลย