ส.ส.เอกภพ เพียรพิเศษ แฉขบวนการมั่วงบฯ สปสช.เดินเกมบี้ รมว.สธ.ลงนามประกาศใช้งบฯ ปี 66 จับตา ทั้งที่มีประเด็นอาจขัดต่อกฎหมาย กมธ.สาธารณสุข เตรียมเค้นหาความจริง
วันนี้ (23 พ.ย.) นายแพทย์เอกภพ เพียรพิเศษ หรือ หมอเอก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 1 จังหวัดเชียงราย พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “หมอเอก Ekkapob Pianpises” ระบุว่า
ทุกท่านน่าจะรู้จัก “บัตรทอง” รู้จัก “ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ซึ่งก็อาจจะรู้คร่าวๆ ว่า แต่ละปีจะมีการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินเหมาจ่ายรายหัวให้กับทางกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไปบริหารจัดการต่อ
และ อาจจะรู้อีกว่าประเทศไทยเรายังมีระบบประกันสุขภาพหลักๆ ที่รัฐสนับสนุนอีกสองระบบ คือ สวัสดิการรักษาพยาบาลของราชการ, ประกันสังคม โดยที่นี้เราจะยังไม่กล่าวถึงระบบย่อยๆ อื่นๆ
ใน พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 ได้เขียนถึงการบริหารจัดการรวมในมาตรา 9, มาตรา 10
ซึ่งการที่ สปสช. จะดูแลผู้ที่มีสิทธิข้าราชการและสิทธิประกันสังคมได้ ต้องมีการตกลงการบริการแล้วตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จากรายงานประจำปีของ สปสช. ฉบับล่าสุด ที่มีการเผยแพร่ คือ ประจำปี 2564 นั้นเขียนไว้ชัดเจนว่ายังไม่ใกล้เคียงกับการจะออกพระราชกฤษฎีกาได้เลย
แถมได้ยอมรับในรายงานด้วยว่า ปี 2553-2563 นั้นทาง สปสช. ไม่ได้ทำรายงานต่อ ครม. ในเหตุผลที่ออกพระราชกฤษฎีกาไม่ได้ ถือว่าเป็นการกระทำความผิดตาม พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือไม่ ?!!!
และ ที่ผ่านมา จนถึงปีงบประมาณ 2564
สปสช. ได้ใช้เงินงบประมาณด้าน ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ที่มีการเสนอของบประมาณอยู่ในก้อน เงินเหมาจ่ายรายหัว ที่คิดตามจำนวนผู้ขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรทองไปให้บริการกับผู้มีสิทธิอื่นด้วย ซึ่งขัดต่อมาตรา 9, 10
จากปี 2564 ที่มีงบประมาณส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรครวมในเงินเหมาจ่ายรายหัว 455.39 ล้านบาท
ในปี 2565 ได้เปลี่ยนการทำงบประมาณ แยกงบประมาณส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคออกจากเงินเหมาจ่ายรายหัว เพิ่มมาเป็น 19,265.42 ล้านบาท
และในคำของบประมาณปี 2566 เพิ่มเงินก้อนนี้ไปถึง 21,311.11 ล้านบาท
ตรงนี้แหละครับ เป็นปัญหาที่ผมกำลังจะชี้ให้เห็น.....
จาก สี่ร้อยกว่าล้าน กลายมาเป็นสองหมื่นล้าน !!!!
มีอะไรซุกซ่อนในรายละเอียดหรือไม่
และ การตั้งงบประมาณโดย สปสช. เป็นการของบประมาณตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งใช้สำหรับดูแลผู้ที่ขึ้นทะเบียนใช้สิทธิบัตรทองเท่านั้น เพราะยังไม่ได้มีการทำข้อตกลงและมีการโอนงบประมาณจากทั้งสิทธิข้าราชการ และ ประกันสังคม ออกเป็นพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 9, 10
คำถามง่ายๆ ครับ ว่าคนที่ใช้สิทธิราชการ ใช้สิทธิประกันสังคม เวลาตรวจสุขภาพประจำปีเขาใช้เงินจากส่วนไหน
หรือ บางคนเป็นแผล บางคนถูกสุนัขกัด เขาต้องฉีดวัคซีนบาดทะยัก วัคซีนพิษสุนัขบ้าใช้เงินจากส่วนไหน
หรือ คนท้องที่ฝากท้องล่ะ ใช้เงินจากส่วนไหน
นี่เป็นแค่เศษเสี้ยวของงบประมาณด้านส่งเสริมสุขภาพ ยังมีอีกหลายรายการที่หากตั้งงบประมาณผ่าน สปสช. แล้วตีความให้ใช้ทุกสิทธิจะเป็นการตั้งงบประมาณซ้ำซ้อนหรือไม่ นอกจากผิดกฎหมายแล้ว
หรือว่า.... มีเหตุจูงใจเหมือนกับกรณีที่ตรวจพบการทุจริต การตรวจสุขภาพของคลินิกใน กทม. ที่เป็นข่าวดังเมื่อปีที่ผ่านมา
ไหนจะเป็นเรื่องการจัดซื้อวัคซีนรวม การจัดซื้อรวม ที่หลังๆ จะเห็น สปสช. ทำตัวเป็นหน่วยงานจัดซื้อเสียเองแทนที่จะเป็นคนกระจายงบประมาณให้โรงพยาบาล
นี่จึงเป็นที่มาของการพยายามกดดันให้รัฐมนตรีสาธารณสุขลงนามในประกาศ สปสช. ให้ใช้งบประมาณ 2566 ทั้งที่อาจเป็นการลงนามในประกาศที่ขัดกฎหมายหรือไม่
แล้วเรามาติดตามกันต่อครับว่าหน่วยงานที่มาชี้แจงในกรรมาธิการสาธารณสุขจะตอบอย่างไร