เมืองไทย 360 องศา
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะมีการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเซีย-แปซิฟิก หรือ “เอเปก” ซึ่งจะเริ่มอย่างเป็นทางการในวันที่ 18-19 พฤศจิกายนนี้ โดยในการประชุมวันนั้น จะมีผู้นำและตัวแทนจำนวน 21 เขต เข้าร่วม อย่างไรก็ดี ที่ต้องจับตาไม่แพ้กัน หรืออาจจะต้องโฟกัสไปที่การหารือแบบทวิภาคีกับผู้นำบางประเทศทั้งที่เป็น “แขกรับเชิญพิเศษ” และผู้นำที่มาร่วมประชุมเอเปก แต่แยกออกมาหารือต่างหาก
ดังนั้น ก็ต้องมาพิจารณาจากกำหนดการการต้อนรับผู้นำบางประเทศที่เป็น “แขกรับเชิญ” ทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล และที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ดังนี้
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นอกเหนือจากกรอบการประชุมเอเปกในช่วงสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยังมีกำหนดการต้อนรับผู้นำในการเยือนประเทศไทย และการหารือแบบเต็มคณะที่ ทำเนียบรัฐบาล ดังนี้ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการต้อนรับการมาเยือนอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดี เหวียน ซวน ฟุก ของเวียดนาม พร้อมมีการหารือทวิภาคี การเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนความตกลงและบันทึกความเข้าใจ การแถลงข่าวร่วม และเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่ผู้นำเวียดนามและภริยา
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ช่วงค่ำ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการรับเสด็จฯเยือนอย่างเป็นทางการของ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีฯ พร้อมมีการหารือทวิภาคี พิธีการแลกเปลี่ยนความตกลงและบันทึกความเข้าใจ และเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงถวายพระกระยาหารค่ำแก่มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย
และวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ช่วงเที่ยง นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการต้อนรับการมาเยือนขอประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน พร้อมมีการหารือทวิภาคี พิธีการแลกเปลี่ยนความตกลงและบันทึกความเข้าใจ และเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้นำจีนและภริยา
นอกจากการหารือแบบเต็มคณะกับ 3 ประเทศนี้แล้ว นายกรัฐมนตรียังมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับแขกพิเศษของรัฐบาล รวมถึงผู้นำและผู้แทนเขตเศรษฐกิจเอเปกที่ทำเนียบรัฐบาลเพิ่มเติม ดังนี้
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 ช่วงสาย นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส พร้อมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน และช่วงเย็น พบหารือทวิภาคีกับ นายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ณ ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนางคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
และวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับ นายแอนโทนี แอลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย และการหารือทวิภาคีแบบสั้นในช่วงการประชุมฯ (Pull-aside) กับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และช่วงเย็น พบหารือทวิภาคีกับ นางคามาลา เดวี แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ณ ทำเนียบรัฐบาล
“การเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกของไทย ตลอดจนการพบหารือกับผู้นำประเทศต่างๆ นี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญของไทยที่จะแสดงบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ เป็นโอกาสให้ได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันกับผู้นำแบบพบหน้ากัน (In person) และเป็นโอกาสให้ได้ขยายความร่วมมือกับมิตรประเทศ การเป็นเจ้าภาพเอเปกของไทยจึงสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และคงเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในเวทีโลก รัฐบาลจึงหวังว่าทุกฝ่ายจะได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพพร้อมร่วมกันสร้างความประทับใจและความทรงจำที่ดีให้แก่ผู้นำ และผู้เข้าร่วมการประชุม ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการประชุมครั้งนี้” นายอนุชา กล่าว
เพียงแค่พิจารณาจากรายชื่อผู้นำแต่ละประเทศที่เรามีพิธีต้อนรับ และหารือแบบทวิภาคี เช่น ประธานาธิบดีเวียดนาม มกุฎราชกุมาร บิลซัลมานฯ ของซาอุดีอาระเบีย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ และรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เอาเป็นว่าแค่สองสามประเทศที่จะมีการหารือแบบทวิภาคีเต็มคณะ ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เช่น มกุฎราชกุมาร บิลซัลมานฯ ที่ตามข่าวนำคณะใหญ่มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เรียกว่า มาแบบได้น้ำได้เนื้อ และก่อนหน้านั้นไม่ถึงสัปดาห์ก็มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการค้าของซาอุฯ ก็นำคณะนักธุรกิจมาเยือนไทยตามคำเชิญของกระทรวงต่างประเทศ มีการหารือแลกเปลี่ยนการลงทุนร่วมกันนักธุรกิจของไทยในหลายโครงการที่สนใจ ดังนั้น ความสัมพันธ์ไทยกับซาอุฯในยุคนี้ถือว่าน่าติดตาม และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรมอย่างเหลือเชื่อ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือ ด้านการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน ก็ต้องจับตาการหารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ที่เพิ่งเดินทางออกนอกประเทศในรอบหลายปี และจะเป็นการเยือนไทยครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำสมัยที่สาม เป็นการเยือนไทยที่ถูกจับตามองอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ที่สำคัญคือ เรื่องการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ส่วนประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ก็ล้วนสำคัญ มีผลกับเศรษฐกิจบ้านเราทั้งสิ้น ถึงได้บอกว่าเพียงแค่นี้ก็เกินคุ้มแล้ว
ส่วนเวทีวงใหญ่เอเปก เป็นกรอบพหุภาคีก็ปล่อยให้มีการแสดงกันอย่างเต็มที่ บางทีก็เหมือนกับการเอาหน้าเอาตาประเทศ ล้วนเป็นกรอบกว้างๆ ต้องใช้เวลาและหาจุดร่วมกันค่อนข้างยาก แต่เอาเป็นว่าหากเราสามารถผลักดันเป็นหลักการในเรื่อง “เขตการค้าเสรีเอเปก” หรือ FTAAP เพื่อให้สานต่อในอนาคตก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ของจริงล้วนอยู่ที่การถกทวิภาคี โดยเฉพาะกับบางประเทศที่ว่า นั่นแหละเป็นคำตอบว่าเราจะได้อะไร ขณะเดียวกัน หากทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบร้อยก็ต้องถือว่าเราได้ภาพลักษณ์เต็มๆ ย่อมมีผลต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวที่ทุกอย่างกำลังฟื้นตัวแบบก้าวกระโดด จะมีก็แต่บางคนที่อาจอกแตกตายหลังจากนี้ก็ได้ !!