นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน พร้อมแกนนำชาวบ้านฉาง จ.ระยอง ร้องศาลปกครองกลาง ขอระงับโครงการก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 สนามบินอู่ตะเกา หลังพบกระบวนจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่โปร่งใส ร้องนายกฯไม่เป็นผล
วันที่ (14 พ.ย.) นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน พร้อมแกนนำชาวบ้าน ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มประชาชนผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงและมลพิษทางอากาศจากการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาในโครงการก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 จำนวน 40 คน เข้ายื่นฟ้องคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการโครงสร้างพื้นฐานทางบกและทางอากาศ (คชก.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กองทัพเรือ และสำนักการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ต่อศาลปกครองกลาง กรณีร่วมกันใช้ดุลพินิจโดยมิชอบและละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ในการจ้างให้เอกชนจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) พื้นที่ชุมชน ต.สำนักท้อน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง โดยเฉพาะประเด็นผลกระทบจากจากเสียง ไม่โปร่งใส โดยขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนกระบวนการจัดทำ EHIA และสั่งระงับการก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภา จนกว่าจะมีการจัดทำ EHIA ใหม่
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การทำรายงาน EHIA การก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 ของสนามบินอู่ตะเภา มีความผิดปกติหลายประการ โดยเฉพาะการทำแผนที่เส้นเสียงสูงสุด ครั้งล่าสุด ที่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นเสียงใหม่ ทำให้เหลือบ้านเรือนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในเส้นเสียง NEF-40 ลดลงจากครั้งก่อน 480 ครัวเรือน เหลือ 80 ครัวเรือน และ มาเพิ่มขึ้นเป็น 93 ครัวเรือน จึงทำให้ชาวบ้านไม่สามารถยอมรับได้กับการทำแผนที่เส้นเสียงในครั้งนี้ จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งให้มีการทบทวนการคิดคำนวนเสียใหม่ โดยให้สถาบันวิชาการที่เป็นกลาง มาดำเนินการศึกษาเพื่อให้เป็นที่ยอมรับตามหลักวิชาการ ชาวบ้านต.สำนักท้อนพยายามเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องสั่งการให้มีการทบทวนเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนายกรัฐมนตรี ส.ส.ในพื้นที่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยื่นต่อคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นสนามบินอู่ตะเภาของสำนักงานการบินพลเรือนฯ แต่ก็ไม่เป็นผล จึงต้องมาร้องศาลปกครองในวันนี้
“เรื่องนี้ คงไม่จบลงง่ายๆ เพราะเมื่อสืบข้อมูลเชิงลึกลงไปแล้วโครงการนี้ มีกลิ่นไม่ค่อยดีหลายเรื่อง จำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลต่อไป เพราะมีผลประโยชน์นับหมื่นล้านบาท แต่ภาครัฐกลับมองไม่เห็นความทุกข์ร้อนของชาวบ้าน คิดแต่เพียงจะลดค่าใช้จ่ายที่จะต้องซื้อคืนที่ดินจากชาวบ้านให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่าง
ชัดเจน สมาคมฯจึงต้องออกมาช่วยชาวบ้านในเรื่องนี”