xs
xsm
sm
md
lg

เรตติ้งแคนดิเดต “อุ๊งอิ๊ง-พิธา” ยังเหนือ “ลุงตู่” แต่ “คนที่ใช่” นายกฯ อาจเป็น “ตาอยู่” ??! ** เลือดไหลอีกแล้ว! “เสนพงศ์” โบกมือลา ปชป.ยกตระกูล แกนนำพรรคกัดฟันบอก ยังเชื่อมั่นความเป็นสถาบันในสถานการณ์ผึ้งแตกรัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

** เรตติ้งแคนดิเดต “อุ๊งอิ๊ง-พิธา” ยังเหนือ “ลุงตู่” แต่ “คนที่ใช่” นายกฯอาจเป็น “ตาอยู่” ??!

ผลสำรวจความนิยม “คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ” ของนิด้าโพลล่าสุด (2-5 พ.ย.) น่าสนใจยิ่ง เมื่อเจาะจงลงมาที่ “ภาคกลาง” จากการสำรวจบุคคลที่คนภาคกลางจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 เป็น “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย “โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร ส่งเข้าประกวด ด้วยคะแนนร้อยละ 24.18 ด้วยเหตุผลที่เลือกเพราะต้องการให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ชื่นชอบอุดมการณ์ของพรรคเพื่อไทย ขณะที่บางส่วนระบุว่า ศรัทธาในตระกูลชินวัตร

อันดับ 2 ร้อยละ 16.73 ระบุว่าเป็น “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” พรรคก้าวไกล เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกล

ส่วน “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯคนเดิม เพิ่มเติมคือจะขอไปต่ออีก 2 ปีในสมัยเลือกตั้งที่จะมาถึง ตาม อุ๊งอิ๊ง และ พิธา มาเป็นอันดับ 3 ร้อยละ 16.23

คนที่เลือก “ลุงตู่” ว่า คือ "คนที่ใช่" ระบุว่า เพราะ ลุงเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต มีประสบการณ์ด้านการบริหาร ชื่นชอบผลงานของรัฐบาลในปัจจุบัน และทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ

เรียกว่า ภาพจำ “ทุกอย่างสงบจบที่ลุงตู่” ยังขายกลุ่มเป้าหมายคนภาคกลางได้ ว่างั้นเถอะ!!

นอกจาก 3 แคนดิเดตดังกล่าวมาแล้ว นิด้าโพลยังพบว่า คนที่ยังไม่ตัดสินใจ หาคนที่เหมาะสมไม่ได้ที่จะเป็นนายกฯ มีถึง ร้อยละ 13.54 เข้ามาเป็นอันดับ 4

ขณะที่ตัวเลือกรองๆ อันดับ 5 ร้อยละ 7.04 คือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส พรรคเสรีรวมไทย เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจริงทำจริง และชื่นชอบวิธีการทำงาน อันดับ 6 ร้อยละ 6.19 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคไทยสร้างไทย เพราะเป็นคนมีประสบการณ์ด้านการบริหาร ชื่นชอบนโยบายของพรรคไทยสร้างไทย และต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ อันดับ 7 ร้อยละ 3.10 นายกรณ์ จาติกวณิช พรรคชาติพัฒนากล้า เพราะเป็นคนมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ เป็นคนมีความมุ่งมั่นในการทำงาน และมีประสบการณ์ด้านการบริหาร

ขณะที่ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ติดมา อันดับ 8 ร้อยละ 2.05 เพราะเป็นคนพูดจริงทำจริง ตามสโลแกนพรรค “พูดแล้วทำ” เป๊ะๆ และชื่นชอบนโยบายของพรรคภูมิใจไทย อันดับ 9 ร้อยละ 1.80 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ อันดับ 10 ร้อยละ 1.60 ระบุว่า เป็น “หนูนา” น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา พรรคชาติไทยพัฒนา เพราะชื่นชอบผลงานของตระกูลศิลปอาชา อันดับ 11 ร้อยละ 1.50 ระบุว่าเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว พรรคเพื่อไทย เพราะ มีประสบการณ์ด้านการบริหาร เป็นคนที่พูดจริงทำจริง และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย

อันดับ 12 ร้อยละ 1.35 ระบุว่าเป็น “เฮียกวง” ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จากพรรคสร้างอนาคตไทย เพราะ เป็นคนมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ มีวิสัยทัศน์ และมีประสบการณ์ด้านการบริหาร

นี่คือผลสำรวจ “คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ” ของคนภาคกลาง พื้นที่ที่เชื่อกันว่าเป็นตัวชี้วัดอีกภาคหนึ่งของสนามเลือกตั้ง และ มีคนรุ่นใหม่วัยทีน ที่พร้อมจะโอนเอนไปตาม “กระแส” ได้ไม่ตั้งพึ่งพา “กระสุน” กันมากนัก

เรตติ้งความนิยมนี้ก็เป็นภาพสะท้อนได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยเป็นแรงผลักดันให้คนที่ยังมีคะแนนต่ำกว่าคนอื่นๆ ได้เร่งสปีดตัวเอง ขณะที่ “ตัวเก็ง” อย่าง อุ๊งอิ๊ง-พิธา หรือ ลุงตู่ ก็คงเหลิงลมไม่ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า คนที่ยังไม่เลือก หรือ ยังตัดสินใจเลือกคนที่เหมาะสมไม่ได้มีเปอร์เซ็นต์สูงถึงร้อยละ 13.54 ลองเทให้ใครขึ้นมาก็อาจจะเป็น “ตาอยู่” ขึ้นมาทันที

ที่สำคัญ การเมืองหลังการประชุมเอเปก นั่นถึงจะเป็นของจริงที่สมรภูมิการสัประยุทธ์กันจะเปิดฉากอย่างแท้จริง ระหว่างความเป็นจริงกับมายาภาพ “โพล” จะได้รู้กันก็วันตัดสินหลังหย่อนบัตรเสร็จสิ้น ยังมีเงื่อนไขอีกมากมายที่จะตัดสินว่า ในที่สุดนายกฯ จะเป็นใคร

เผลอๆ คนที่ไม่ใช่อาจจะเป็นคนใช่ ...ก็โปรดติดตามกันต่อไป








**เลือดไหลอีกแล้ว! “เสนพงศ์” โบกมือลา ปชป.ยกตระกูล แกนนำพรรคกัดฟันบอก ยังเชื่อมั่นความเป็นสถาบันในสถานการณ์ผึ้งแตกรัง

สถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ เปรียบดั่งผึ้งแตกรังก็มิปาน เพราะมีคนเก่าคนแก่ คนมีชื่อเสียงระดับเซเลบฯ ของพรรคลาออกแทบจะทุกวัน ล่าสุด ก็เป็นคนในตระกูล “เสนพงศ์” แห่งนครศรีธรรมราช ประกาศโบกมือลาพรรคตราแม่พระธรณีไปแบบยกตระกูล

เป็นเทรนด์การลาออกที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง นับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 สมาชิกคนดังๆ ที่โบกมือบ๊ายบายไปจากพรรค เช่น “กรณ์ จาติกวณิช-หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค-นิพิฐฏ์ อินทรสมบัติ-ถาวร เสนเนียม-วิทยา แก้วภราดัย” เป็นต้น

เมื่อเร็วๆ นี้ ก็เป็น “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” ที่อยู่ใต้ร่มชายคาพรรคสีฟ้ามานานถึง 38 ปี เคยเป็นรองหัวหน้าพรรค เป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรคมาหลายกระทรวง ได้ประกาศลาออกเพื่อขอโอกาสมีลมหายใจเป็นของตนเองสักครั้งหนึ่งในบั้นปลายชีวิตทางการเมือง เพื่อจะได้สนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ๆ (ที่ใหม่กว่าพรรคประชาธิปัตย์) ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในไม่กี่วันต่อมา

และสมาชิกคนดังที่ประกาศชัดเจนแล้วว่า กำลังหาทางหนีทีไล่ ไปสังกัดพรรคใหม่อีกคน ก็คือ “รังสิมา รอดรัศมี” ส.ส.คนดังแห่งเมืองสมุทรสงคราม ที่ประเมินสถานการณ์แล้ว พบว่า หากขืนยังอยู่พรรคเดิมในการเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องสอบตกแน่ๆ

สำหรับสาเหตุที่คนในตระกูล “เสนพงศ์” ลาออกจากพรรคนั้น “พงศ์สินธุ์ เสนพงศ์” น้องชาย “เทพไท เสนพงศ์” อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ของพรรค บอกไว้ในแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวานนี้ (13 พ.ย.) หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช 8 คน เมื่อวันก่อน ไม่มีชื่อคนในตระกูลเสนพงศ์ แม้แต่คนเดียว

“พงศ์สินธุ์” บอกว่า ขอประกาศตัดสินใจทางการเมืองด้วยตัวเอง เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้ตัดสินใจ มีมติไม่ส่งตนลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในนามพรรค ทั้งที่เคยเป็นผู้สมัครเก่าของพรรคในการเลือกตั้งซ่อม และมีพี่ชายคือ “เทพไท” เป็นอดีต ส.ส.ของพรรค 4 สมัย

“ได้ทำหน้าที่ปกป้องพรรค พิทักษ์อุดมการณ์พรรค ต่อสู้ให้กับพรรคอย่างเข้มแข็ง ได้ยืนหยัดต่อสู้กับระบอบทักษิณ จนถูกฟ้องมีคดีความ 23 คดี แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับไม่ให้ความสำคัญ ไม่เห็นคุณค่าของนักสู้ของพรรค ตัดสิทธิสมาชิกของครอบครัวตระกูลเสนพงศ์ ไม่ส่งลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ในเขตเลือกตั้งเดิมเลยแม้แต่คนเดียว แต่กลับให้สิทธิกับตระกูลอื่นลงสม้ครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตระกูลละ 2 คน ถือได้ว่าเป็นการไม่ให้เกียรติกับคนที่เคยต่อสู้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์” พงศ์สินธุ์ กล่าวด้วยความอัดอั้นในใจ พร้อมยืนยันว่า

สมาชิกในครอบครัวตระกูลเสนพงศ์ ไม่ได้ทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ แต่พรรคประชาธิปัตย์ต่างหาก ที่ทอดทิ้ง ไม่ให้โอกาสสมาชิกของคนในตระกูลเสนพงศ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดจะยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีความผูกพันมายาวนาน “ครอบครัวตระกูลเสนพงศ์” ได้เป็นผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ มาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อ ที่เป็นหัวคะแนนให้กับผู้สมัครของประชาธิปัตย์ทุกคน จนมาถึงสมัย “เทพไท เสนพงศ์” ได้ลงสมัคร ส.ส.เมื่อปี 2548

“สมาชิกในครอบครัวตระกูลเสนพงศ์ ได้ตกลงใจพร้อมกันขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ โดยผมจะยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกต่อนายทะเบียนพรรคในสัปดาห์นี้ พร้อมกับคืนเสื้อแจ๊กเก็ต ที่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค ได้สวมให้ในวันประกาศส่งสมัครเลือกตั้งซ่อมเขต 3 นครศรีธรรมราชด้วย ลาก่อนพรรคประชาธิปัตย์ สวัสดีครับ”

นั่นเป็นคำอำลาของคนในตระกูล “เสนพงศ์” ต่อพรรคประชาธิปัตย์ ขณะเดียวกัน ในพื้นที่เมืองคอน ก็ไม่ได้มีแค่ตระกูลนี้ที่ตีจากอ้อมอกแม่พระธรณีเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่ยังมี “ส.ส.ปุ้ย” พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล เจ้าของพื้นที่ อ.สิชล ที่ได้แจ้งต่อ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เลขาธิการพรรค ไว้แล้วว่าจะลาออกจากพรรค หลังจากได้ตัดสินใจที่จะไปร่วมงานการเมืองกับพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ทำให้การเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้ผู้สมัครไม่ครบ 9 เขต ยังเหลือ 1 เขตที่ต้องหาคนมาแทน “ส.ส.ปุ้ย”

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสมาชิกระดับเซเลบคนอื่นๆ ที่มีกระแสข่าวว่า จะลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เช่น “ตั๊น” จิตภัสร์ กฤดากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรค ที่มีกระแสข่าวบอกว่าจะย้ายไปพรรคภูมิใจไทย หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ล่าสุดเมื่อวาน เจ้าตัวได้ออกมายืนยันว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเติบโตมากับพรรคนี้ พรรคให้โอกาสในการทำงาน ได้เป็น ส.ส.ก็เพราะว่าพรรคเปิดโอกาสให้ และพรรคนี้คือสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าใครจะมาหรือใครจะไป ตัวพรรคประชาธิปัตย์ยังคงอยู่ตลอด

แต่ความเป็นสถาบันของพรรคประชาธิปัตย์ ก็คงไม่การันตี ว่าจะไม่มีใครลาออกจากพรรคอีก เพราะแม้แต่แกนนำพรรคระดับอดีตหัวหน้า และอดีตนายกฯ อย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ยังเคยให้สัมภาษณ์ในรายการ “คนเคาะข่าว” ทางสถานีโทรทัศน์ NEWS1 เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 65 ว่า พร้อมถอนตัวออกจากพรรค หากแนวทางของพรรคเปลี่ยนไปจากแนวทางที่ตนเชื่อ ถึงจุดหนึ่งก็ต้องถอนตัว แต่วันข้างหน้าหากพรรคกลับมาเป็นแนวทางตรงกับตน ก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น

รวมทั้งเมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา ก็มีภาพ อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ พร้อมด้วย “สาธิต ปิตุเตชะ” รมช.สาธารณสุข ไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ทำให้เกิดการตีความไปต่างๆ นานา เรื่องอนาคตทิศทางการเมืองของเจ้าของฉายา “หล่อใหญ่” แห่งพรรคประชาธิปัตย์

แต่อีกคนที่จะออกไปค่อนข้างแน่ ก็คือ “แม่เลี้ยงติ๊ก” ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ เจ๊ใหญ่ใจถึงแห่งเมืองแพร่ ที่จะไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ กับ “ลุงไตรรงค์ สุวรรณคีรี”

กระแสเลือดไหลทะลักออกจากพรรค ราวกับกระแสน้ำที่ไหลออกจากเขื่อนแตกแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่า ระดับหัวๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ จะได้มองย้อนไปตรวจสอบหาสาเหตุอย่างไร หรือไม่ แต่จากคำให้สัมภาษณ์ของ “นิพนธ์ บุญญามณี” รองหัวหน้าพรรค ที่นครศรีธรรมราช เมื่อวันเปิดตัวผู้สมัคร ก็พูดทำนองว่า ที่มีสมาชิกลาออกจากพรรคเยอะๆ นั้น เพราะมีพรรคบางพรรคที่จ้องจะเอาคนของพรรคประชาธิปัตย์ไป เพื่อทำให้พรรคดูไม่มีความมั่นคง และอ่อนแอ คิดว่าเขาจ้องจะทำลายพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว

“เชื่อว่า เราจะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้แน่นอน เรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ของพรรคประชาธิปัตย์ในวันข้างหน้า และเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่ให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่ย่างเข้าสู่ปีที่ 77 พรรคไม่ได้ฝากอนาคตไว้กับคนใดคนหนึ่ง เมื่อคนรุ่นนี้จากไปคนรุ่นใหม่ก็เกิดขึ้น พรรคจะมีพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่มากขึ้น ถือเป็นการถ่ายเลือดครั้งใหญ่อีกครั้งของพรรค ถ้าเกิดขึ้นตามข่าว” รองหัวหน้า ปชป.กล่าว

ฟังคำให้สัมภาษณ์ของรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ก็ได้แต่สงสัยว่า ท่านได้ทำตามคำขวัญของพรรคที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า “สัจจัง เว อมตา วาจา” ที่แปลว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และต้องกล้าพูดความจริง หรือเปล่าหนอ?


กำลังโหลดความคิดเห็น