“การเมืองไทย ในกะลา” แซะ “ประยุทธ์” จับมือ “โจ ไบเดน” โม้ยันลูกบวช “เพจลุงตู่ตูน” โชว์ผลงานเด็ดเพียบ ก่อนชัดเจนเลือกอยู่ต่อหรือย้ายพรรค “เจี๊ยบ”- อมรัตน์ แฉตำรวจกระตือรือร้นเกิ้น หมายจับ “หมิ่นนายกฯ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (13 พ.ย. 65) เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา โพสต์ภาพ “ประยุทธ์” จับมือ “โจ ไบเดน” พร้อมข้อความระบุว่า
“กลับมาโม้ยันลูกบวช 😂😂”
ขณะเดียวกัน แฟนเพจเฟซบุ๊กลุงตู่ตูน เพจสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วงที่ผ่านมา ในหัวข้อ “ผลงานลุงตู่ ก่อนก้าวเข้าสู่เส้นทางนักการเมืองเต็มตัว”
ระบุ อีกไม่นานคงได้รู้ว่า ลุงตู่ของเราเข้าสังกัดพรรคการเมืองใด ไม่ว่าจะสังกัดพรรคใด คะแนนของลุงตู่ จากความไว้วางใจจะตามไปด้วย เพราะผลงานที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ ประชาชนสามารถจับต้องได้ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตโลกจากสถานการณ์โควิด ลุงตู่พาประเทศไทยผ่านพ้นมาได้ ด้วยการช่วยกันพยุงให้ทุกคนก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน ที่สำคัญ ลุงตู่ที่วางรากฐานด้านคมนาคมของไทยเสียใหม่ เพื่อให้ก้าวทันนานาประเทศ
วันนี้ แอดมินขอนำผลงานเพียงเสี้ยวหนึ่งของลุงตู่ มานำเสนอแฟนเพจ ก่อนที่ลุงตู่ของเราจะก้าวเข้าสู่ความเป็นนักการเมืองเต็มตัว ยกระดับคมนาคมไทย สร้างรถไฟฟ้าทางคู่ ระยะที่หนึ่ง 993 กิโลเมตร ระยะที่สอง 7 เส้นทาง 1,483 กิโลเมตร ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ปูทางสู่การพัฒนาในอนาคต ก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสาย เปิดใช้แล้ว 8 สาย รวม 198 กิโลเมตร 136 สถานี อยู่ระหว่าง่กอสร้าง 4 สาย รวม 101 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ยังดำเนินโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ครอบคลุมประชาชนกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคน วางพื้นฐานการช่วยแบบถึงตัว ถึงมือประชาชน รวมถึงโครงการประชารัฐต่างๆ ที่อาศัยความร่วมมือรัฐกับเอกชน เข้าช่วยเหลือประชาชนฐานราก นโยบายทวงคืนผืนป่า ดำเนินการแล้ว 293 แห่ง สามารถผืนป่าทวงคืนมาได้ 4.9 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังดำเนินโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับทุกจังหวัด โดยเฉพาะใน กทม. ได้ดำเนินโครงการสวนป่าเบญจกิติ พื้นที่ 259 ไร่ เป็นปอดขนาดใหญ่ให้คนกรุงเทพฯ และปรับปรุงภูมิทัศน์รวมคลองหลายสายในพื้นที่ กทม.เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ได้มีมาตรการรับมือสถานการณ์โควิด-19 อย่างเต็มกำลัง จัดหาวัคซีนให้คนไทยไปแล้ว 143 ล้านโดส เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง ผ่านโครงการเราชนะ คนละครึ่ง ม.33 เรารักกัน เป็นต้น ประเทศมีความมั่นคง โดยเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับ 12 ของโลก มีทองคำเป็นทุนสำรองสูงเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
ทั้งนี้ การโพสต์ดังกล่าวเป็นที่จับตา ท่ามกลางกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จะย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ ไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
ที่น่าสนใจไมแพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา ยังแชร์ เพจเฟซบุ๊ก อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ด้วยว่า
“คดีหมิ่นประมาทนายกฯ ไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษร้ายแรงอะไร ดิฉันไม่มีความกังวลใจใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องคิดหลบหนี (ไม่เคยคิดหลบหนีในทุกคดี แม้จะไม่มีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม)
ก่อนที่จะไปรายงานตัวที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อขอให้ศาลปลดล็อกหมายจับในวันพรุ่งนี้ (14) เวลา 13.30 น.ขอชี้แจงคร่าวๆ ต่อผู้สนใจสอบถามมาดังนี้
หากใครติดตามข่าวจะทราบว่าที่ สน.นางเลิ้ง เต็มไปด้วยคดีความเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทนายกรัฐมนตรีที่ นายอภิวัฒน์ ขันทอง ลูกน้องคุณประยุทธ์ เป็นผู้เข้าแจ้งความต่อบุคคลจำนวนมาก เท่าที่นึกได้เร็วๆ อาทิเช่น คุณฮาร์ท สุทธิพงศ์ คุณมิลลิ คุณจอห์น วิญญู อาจารย์นักวิชาการเช่น อ.ยุกติ ฯลฯ
สำหรับตัวดิฉันได้รับหมายเรียกรัวๆ แทบนับไม่ถ้วนจาก สน.นี้ จนสับสนไม่รู้คดีไหนเป็นคดีไหน คดีไหนเรียกเป็นครั้งที่เท่าไหร่งงไปหมด โดยเฉพาะวันหลังจากการอภิปรายในสภา
ดิฉันไม่ได้บิดพลิ้วที่ผ่านมา เคยไปรายงานตัวตามหมายเรียก สน.นางเลิ้ง มาแล้ว ไปให้ปากคำพิมพ์ลายนิ้วมือ และ สน.นางเลิ้ง นำตัวดิฉันส่งฟ้องอัยการ ซึ่งก็ไปตามนัดขณะนี้คดีนั้นอยู่ในชั้นอัยการ
หลังจากนั้น ดิฉันทำงานในสภา ใน กมธ. งานบริหารพรรค และงานเดินสายพบสมาชิก รวมทั้งกิจกรรมทางการเมืองที่สำคัญทั้งใน กทม.และ ตจว.แทบไม่มีวันหยุดพัก
1. หมายเรียกคดีหมิ่นประมาทจาก สน.นางเลิ้ง หลายครั้งส่งไม่ถึงมือ เพราะที่อยู่ปัจจุบันกับที่อยู่ตามทะเบียนบ้านเป็นคนละหลังกัน
2. หลายครั้งดิฉันขอให้ทนายแจ้งทาง สน.ขอเลื่อนนัดออกไปเพราะไปตรงกับกำหนดการไป ตจว.
3. ครั้งหนึ่งมีปัญหาสุขภาพต้องเข้าผ่าตัดที่ รพ.พญาไท 2 ก็แจ้งขอเลื่อนไป และต่อมาเมื่อเปิดสมัยประชุมก็ขอใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียก
ขณะแอดมิตหลังผ่าตัดที่ รพ. แพทย์แจ้งว่า มี จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ตามมาตรวจสอบกับแพทย์เจ้าของไข้ถึงที่ รพ.ว่าผ่าตัดจริงหรือไม่
หลังเปิดสมัยประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา แม้ดิฉันสามารถใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ไม่ต้องไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ได้ (ดิฉันยังไม่ทราบว่าถูกศาลออกหมายจับแล้ว)
แต่สัปดาห์นี้ (14-18 พ.ย.) มีการงดประชุมสภาทั้งสัปดาห์เนื่องจากการประชุมเอเปก ดิฉันเห็นเป็นโอกาสดีมีเวลาว่างไม่มีคิวงาน ตจว. จึงรีบแจ้งทนายให้ติดต่อกับทาง สน.นางเลิ้ง เพื่อขอเข้ารายงานตัวตามหมายเรียกในวันที่ 14 พ.ย.เวลาบ่ายโมงครึ่ง
หลังทนายโทร.ไปนัด วันรุ่งขึ้นจึงทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่าดิฉันถูกศาลออกหมายจับก่อนหน้าไปแล้ว (พึ่งทราบจากสื่อมวลชนเหมือนกันว่าหมายจับออกตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 65)
ในตอนแรกทนายติดต่อจะขอไป สน.ในวันที่ 15 แต่หลังวางสายเช็คตารางงานอีกทีพบว่าว่าไม่สะดวก จึงโทรไปขอเปลี่ยนเป็นวันที่ 14 เวลาบ่ายโมงครึ่งแทน
ช่วงเวลาชั่วครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะขอเปลี่ยนวันจาก 15 เป็น 14 จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ก็รีบแพร่กระจายข่าวต่อสื่อมวลชนไปแล้ว
ในข่าวจึงลงวันที่นัดหมายผิดวันเป็นวันที่ 15 จะถือว่า จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง มีความกระตือรือร้นในการติดตามคดีหมิ่นประมาทนายกอย่างผิดสังเกตได้หรือไม่”
แน่นอน, ช่วงนี้ถือว่า เป็นโอกาสทองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแสดงบทบาทสำคัญ ถึงสองงาน ในเวลาใกล้เคียงกัน นั่นคือ งานประชุมสุดยอด “อาเซียน-สหรัฐฯ” ครั้งที่ 10 ที่กัมพูชา กับงาน ประชุมสุดยอดผู้นำ “เอเปก” ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้ กล่าวกันว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ถูกกระแส “บีบ” และขับไล่ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัย “ปม 8 ปี” ก็เพราะมีบางฝ่าย ไม่อยากเห็นความสำเร็จของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการจัดงานใหญ่ที่ผู้นำระดับโลกเดินทางมาร่วม หรือแม้แต่ กรณี “โจ ไบเดน” ไม่ได้เดินทางมาร่วม ก็กลายเป็นประเด็น “ดิสเครดิต” ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ให้ความสำคัญ
กระทั่ง การประชุมสุดยอด “อาเซียน-สหรัฐฯ” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้จับมือ กับ “โจ ไบเดน” ก็ยังถูกเยาะเย้ย ตามแซะอีกว่า กลับมาคงจะโม้ยันลูกบวช นี่คือ สิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล “ลุงตู่” ยังคงกัดไม่ปล่อย การโจมตีและดิสเครดิต ไม่เลือกกาลเทศะ หรือ อะไรดี อะไรร้าย อะไรเป็นความสำเร็จ อะไรล้มเหลว
นี่, ถ้า “การประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก” ประสบความสำเร็จอย่างสูง บางพวกบางฝ่ายอาจคลั่งตาย ก็ไม่แน่เหมือนกัน