“ชูวิทย์” จัดอีก ซัดอดีตตำรวจนอกรีตมาหาเรื่องถึงหน้าบ้าน หลงว่าตัวเองยังเป็นตำรวจ ทั้งๆ ที่โดนไล่ออกจากราชการ แสร้งทำตัวรู้จักคนนั้น เคยคุยกับคนนี้ เพื่อสร้าง “เครดิต” เดินสายอาละวาดขอเศษตังค์ แต่เดินจนส้นเท้าสึก ก็ไม่ได้ค่าส่วยแม้แต่บาทเดียว จนต้องไปหากินกับทุนจีนที่ไม่รู้เรื่อง ซ้ำร้ายยังเสนอหน้าไปช่วยไปเคลียร์อะไรให้ใคร ล้วนติดคุกกันหมด ลั่นฟ้องมาผมก็ฟ้องกลับ เตือนหากหลุดเข้าคุก ไม่ใช่จะไปเห่าได้เก่งเหมือนข้างนอกนะครับ
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “กระทงไม่ต้อง กระทืบดีกว่า” หลังจาก นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจสันติบาล บุกหาเรื่องถึงหน้าบ้าน ว่า
ตำรวจที่โดนไล่ออกจากราชการ เคยถูกคนดักยิงกระบาลจนคนขับรถตายคาที่ ตัวเองหนีหัวซุกหัวซุน เมื่อ 20 กว่าปีก่อน
ไปถาม ท่านเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เรียกตำรวจพรรค์นี้ว่า “โจรในเครื่องแบบ”
แต่มาวันนี้ เริ่มกลับมาออกลายสันดานเดิม
ผมยืนยัน ความจำแม่น เมื่อผมเริ่มทำธุรกิจ อาบอบนวด ปี 2535 ตำรวจนอกรีตที่คอยไปรีดไถ แสดงท่าเป็นนายตำรวจหากินกับเครื่องแบบตามสถานที่อโคจร บ่อน บาร์ อาบอบนวด มีอยู่ไม่กี่คน
และผมไม่จำเป็นต้องไปตีสนิทให้เสนียดจัญไรติด เพราะมีมากอยู่แล้ว
ผมสายแข็ง จ่ายราคาตั๋วเด็ก ในวงการเขารู้กัน
ระดับตำรวจ “นักบิน” ร่อนไปมาอย่างไอ้นี่ เดินจนส้นเท้าสึกก็ไม่ได้ค่าส่วยแม้แต่บาทเดียว
ยืนยันว่าไม่ได้รู้จัก หน้าไม่เคยเห็น ชื่อไม่กระดิกหู
เพิ่งมารู้จักตอนทำตัวบ้าจัด ถอดเสื้อโชว์หัวนม ร้องห่มร้องไห้ หลัง “บิ๊กโจ๊ก” นำตำรวจไปบุกจับ สมัยหากินเก็บค่าจอดรถแถวตลาดดอนเมือง
แม้แต่ตำรวจด้วยกันยังส่ายหน้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย
ความกระสันอยากสร้าง “เครดิต” ในวงการสีเทาไม่หยุดหย่อน แสร้งทำตัวรู้จักคนนั้น เคยคุยกับคนนี้ เรียกราคา มาเฟียบ่อนโน้น ผับนี้ เดินสายอาละวาดขอเศษตังค์ไปทั่ว จนทุกที่รำคาญ
ทำทีว่าเป็น “ผู้กว้างขวางระดับตลาดนัด” พูดเสียงดังโวยวาย รู้ไปทุกเรื่อง เสือกไปทุกอย่าง
แต่เดินทรงนี้ บ่อนไหนใช้บริการงานเข้าแน่นอน จึงต้องไปหากินกับทุนจีนที่ไม่รู้เรื่อง
แล้วยังเสร่อเสนอหน้าไปช่วยไปเคลียร์อะไรให้ใคร ล้วนติดคุกกันหมด ไล่ตั้งแต่
“หลงจู๊สมชาย” บ่อนระยอง ติดคุก
“เสี่ยโป้” ติดคุก ประกันตัวไม่ได้
“เดวิด เบบี้เฟส“ ประกันตัวไม่ได้ และกำลังมีแนวโน้มถูกเนรเทศกลับจีน
ส่วนจีนที่เหลือบินหนีต่างประเทศโกยแนบ
แม้แต่เรื่อง “แตงโม” มันยังไปเสือกกับเค้า รู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้ แต่ท้ายสุดหายเงียบ
“เจ้าพ่อเมืองหลวง” สีเทาการเมืองที่การข่าวดี รู้ทัน ตีตัวห่างเสียก่อน เพราะตอนนี้กระสุนเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาอยู่ ขืนให้ “ตำรวจนอกรีต” มาออกหน้า มีหวังซวยชิบหายกันพอดี ต้องนิ่งรอคลื่นลมสงบ
คนอย่างผมหากจะเล่นงานใครต้องมีสาระ มีข้อมูล ไม่ใช้วิธีนุ่งกระโปรง ฟ้อนเล็บ ไปหยิก ไปข่วน ใส่สีตีไข่ เอะอะเสียงดัง แต่สั่นเครือ หายใจไม่ทัน เพราะเอาแต่ตะเบงเสียงอย่างเดียว ที่แท้ “บ่มิไก๊” ไม่มีอะไร
มิน่าเป็นตำรวจไม่ได้ เป็นได้แค่นักเลงคุมบ่อน
ผมมันแก่แล้ว ผ่านอะไรมามากพอ รู้อะไรเป็นอะไร หากออกมาแฉ เอาที่เป็นประโยชน์กับสังคมดีกว่า
แต่ดันมาหาเรื่องผมถึงหน้าบ้าน หากไม่จัดก็ไม่ใช่ชูวิทย์แล้ว โดยเฉพาะมาป้ายสีผมแบบน่าขยะแขยง
คนมันบ้า เพราะโดนเจาะกล่องรายได้ เลยแปรสภาพเป็น “หมาบ้า” ที่ไม่มีเจ้าของ ไม่มีต้นสังกัด ไม่มีปลอกคอ ไล่กัดเขาไปทั่ว
ขืนปล่อยต่อไป จะไล่กัดชาวบ้าน หรือกัดตำรวจด้วยกันเอง
แล้วไปๆ มาๆ ยังมากัดผมที่ปกป้องสังคมไทยจากจีนสีเทา ที่กอบโกยผลประโยชน์ประเทศไทย
คิดว่ามาเห่าแบบนี้แล้วคนอย่างผมจะกลัว
หลงว่าตัวเองยังเป็นตำรวจ ทั้งๆ ที่โดนไล่ออกจากราชการ เดินทรงนี้น่าจะไปคุมคิวรถ วินมอเตอร์ไซค์ตามตลาดข้างทางเสียมากกว่า
แล้วหากจะฟ้องก็ฟ้องได้ เมื่อฟ้องมาผมก็ฟ้องกลับ ข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เพราะมากล่าวหาว่าผมเป็นเจ้าของสถานที่ รู้เห็นเป็นใจ สนับสนุนให้มีการเสพยา
ชนเป็นชน เพราะเครื่องผมติดแล้ว
ผมเคยติดคุกมา 3 รอบ ต้องถามกลับ ไอ้นี่เคยติดคุกหรือยัง?
เพราะอดีตตำรวจนอกรีต หากหลุดเข้าคุก ไม่ใช่จะไปเห่าได้เก่งเหมือนข้างนอกนะครับ
ข้างในไม่มีใครกลัวใคร อาจจะโดนต้อนรับด้วย “ท่าคลานบิณฑบาต” ตบรอบแดน
บรรดาตำรวจเชียร์ให้ผมจัดการคนสันดาน “หมาบ้า ล่ากระดูก เก็บเศษอาหาร คุ้ยกองขยะ” อยู่ครับ
วันนี้ กระทงไม่ต้อง กระทืบดีกว่า