รองโฆษกรัฐบาล เผย รัฐเชิญชวนคนไทยเริ่มสร้างวินัยการออม เนื่องในวันออมแห่งชาติ วางรากฐานความมั่นคงชีวิตตั้งแต่วันนี้ พร้อมพัฒนาทักษะทางการเงินให้คนทุกช่วงวัย
วันนี้ (31 ต.ค.) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 31 ต.ค. ของทุกปี นอกจากจะเป็นวันฮัลโลวีนที่คนทั่วโลกสนใจแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญ คือ วันออมโลก (World Thrift Day) ซึ่งในส่วนของประเทศไทยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้มีมติเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 41 กำหนดให้วันที่ 31 ต.ค.ของทุกปีเป็น “วันออมแห่งชาติ” ด้วย เพื่อส่งเสริมให้คนไทย มีนิสัยรักการออม ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการออมเพื่อเป็นรากฐานความมั่นคงทางการเงินตั้งแต่ระดับบุคคล ครัวเรือน และประเทศชาติ
รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนให้ความสำคัญกับการออม โดยถือโอกาสวันออมแห่งชาตินี้เป็นจุดเริ่มต้นการวางแผนการออมให้กับตนเองหรือคนในครอบครัวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน หากเริ่มปลูกฝังนิสัยการรักการออมตั้งแต่วันนี้จะสามารถสร้างความมั่นคงในชีวิตในอนาคต
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนมีการออมควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะทางการเงินให้สามารถรับมือกับเทคโนโลยีทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งในส่วนของการออมขั้นพื้นฐานรัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนมีการออมผ่านช่องทางต่างๆ เช่น สมาชิกกองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแห่งชาติ (กบข.)
ในส่วนของผู้มีอาชีพอิสระสนับสนุนให้ออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ที่ประชาชนส่งเงินออมแล้วรัฐบาลจัดงบประมาณสมทบให้ตามช่วงอายุสูงสุด 1,200 บาทต่อปี ซึ่ง ณ วันที่ 30 มิ.ย. 65 กอช. มีสมาชิกเข้าร่วมแล้ว 2.48 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 64 ที่มีสมาชิก 2.45 ล้านคน มีสินทรัพย์ซึ่งเป็นเงินออมของประชาชนและที่รัฐบาลร่วมสมทบภายใต้การบริหารรวม 10,981.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 64 ที่มีอยู่ 10,734.87 ล้านบาท
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในปี 2565 รัฐบาลได้จัดสรรกรอบวงเงินเพื่อสมทบให้กับประชาชนที่ออมเงินกับ กอช. 1,255.99 ล้านบาท และในปี 2566-68 ประมาณการกรอบวงเงินที่จะให้การสมทบแยกเป็น ปี 66 จำนวน 1,212.89 ล้านบาท ภายใต้ประมาณการสมาชิก กอช. 2.54 ล้านคน ปี 67 จำนวน 1,291.82 ล้านบาท สมาชิก กอช. 3.27 ล้านคน และปี 68 จำนวน 1,377.06 ล้านบาท สมาชิก กอช. 3.62 ล้านคน
“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับนโยบายสนับสนุนการออมเพื่อรากฐานที่มั่นในชีวิตของประชาชน รวมถึงการเร่งพัฒนาทักษะทางการเงินให้กับคนทุกช่วงวัยให้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม เลือกออมและลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันมีการผลักดันองค์ความรู้ต่างๆ ตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565-2570 ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว