“ดร.นฤมล”ชี้ แนวโน้มดอกเบี้ยจ่อปรับขึ้นต่อเนื่อง ห่วงคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบาง แนะมาตรการเสริมควบคู่ปรับโครงสร้างหนี้
วันนี้ (28 ต.ค.) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โพสต์ Facebook ส่วนตัวชี้ให้เห็นความเคลื่อนไหวการปรับดอกเบี้ยของต่างประเทศ ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ต.ค.เป็นไปตามคาดที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติขึ้นดอกเบี้ยอีก +0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ที่ 1.5% นับเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 13 ปี จากที่เคยใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบต่อเนื่องมา 8 ปี จนเพิ่งมาเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อรับมือกับอัตราเงินเฟ้อที่ปัจจุบันพุ่งไปถึง 9.9% แล้วในสหภาพยุโรป
คำกล่าวของ นางคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB ทำให้คาดว่าน่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง และคาดว่า เดือนธันวาคมนี้จะขึ้นอีก +0.5% หลังจากนั้น น่าจะขึ้นอีกคราวละ +0.25% จนแตะระดับสูงสุดประมาณ 2.6% ถึง 3.0% ปีหน้า นอกจากมติขึ้นดอกเบี้ย ยังมีมติลดการชดเชยธนาคารพาณิชย์ในสหภาพยุโรป ผ่านเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับศูนย์ หรือติดลบ เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น เพื่อบีบให้ธนาคารพาณิชย์เร่งชำระคืนยอดเงินกู้คงค้างที่มีอยู่ทั้งหมดรวม 2.1 ล้านล้านยูโร ส่วนทางด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการประชุมสัปดาห์หน้า คาดว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีก +0.75% เป็น 4.00% หลังจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 3 +2.6% ดีกว่าคาดที่ +2.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้
สำหรับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มีกำหนดประชุมอีกครั้งเดือนพฤศจิกายน คาดว่า จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% หากจำเป็น ซึ่งจากรายงานเสถียรภาพระบบการเงินไทยประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 พบว่า การไม่ขึ้นดอกเบี้ยอย่างก้าวกระโดด พร้อมกับการบูรณาการความร่วมมือเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณภาพสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ปรับดีขึ้นเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้น สินเชื่อรถยนต์
อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในภาพรวมทุกประเภทสถาบันการเงินยังเร่งตัวขึ้น โดยสินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน จาก COVID-19 เพิ่มขึ้นจากจำนวนลูกหนี้ 1.9 ล้านคน 2.3 ล้านบัญชี ยอดคงค้าง 2 แสนล้านบาท ในเดือนมกราคม 2565 มาเป็น 2.9 ล้านคน 4.3 ล้านบัญชี ยอดคงค้าง 4 แสนล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาเพียง 6 เดือน
นี่คือ กลุ่มลูกหนี้ที่เปราะบางจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งควรได้รับการดูแลเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์ในแนวทางการแก้ไขหรือปรับโครงสร้างหนี้ที่ยืดหยุ่นเฉพาะกลุ่ม และจำเป็นต้องเสริมด้วยมาตรการเฉพาะจากรัฐบาลเพื่อช่วยลดค่าครองชีพและฟื้นรายได้