ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เปิดตัว 3 มาเฟียมังกรจีน “อาเฮ้า - โทนี่ ยิบ- เดวิด” ยึดกทม. หุ้นนักการเมืองใหญ่-เปิดพนัน-อัปยา
จากปฏิบัติการลุย "ผับจีน" สถานบันเทิงมั่วสุมอัปยาของทุนจีนในท้องที่ยานนาวา กลางกรุงเทพฯ ของตำรวจนครบาล ที่ "เฮียชู" ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักธุรกิจและอดีตนักการเมือง นิยามว่า เป็นสถานบันเทิงบังหน้า แต่เปิดให้เล่นพนัน และอัปยา ที่ "คนจีนเปิด คนจีนจ่าย คนจีนเล่น" หรือ "ผับศูนย์เหรียญ" ยังมีประเด็นให้ขุดคุ้ย
อย่างที่บอกไปก่อนนี้ว่า บ่อนหรือผับนี้ ดำเนินการโดย "ชาวจีน" ที่ตั้งตนเป็นมาเฟีย และที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดก็คือ “อาเฮ้า” หรือ “ตู้ห่าว”
ถามว่า “อาเฮ้า” เป็นใคร? มาจากไหน? ในวงการสีเทาทราบแต่เพียงว่าเขาเป็นนักธุรกิจมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งอาจฝังใจกับเมืองหูหนาน จึงนำมาตั้งชื่อคาราโอเกะย่านสาทร ท้องที่สน.ยานนาวา มีกิจการฉาบหน้าเป็นสถานบริการร้องเพลง แต่ฉากหลังเปิดเป็นบ่อนพนัน และรองรับไฮโซแดนมังกรทั้งเสพยา มั่วเซ็กซ์ กันตามใจชอบ
บ่อน “หูหนาน” หรือ หูหนาน คาราโอเกะ เปิดบริการนานหลายปีแล้ว เป็นแหล่งอบายมุขย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯที่ไม่มีใคร
กล้าแตะเพราะทราบกันดีว่ามี "นักการเมืองใหญ่" คนดังยืนเป็นแบ็กอยู่เบื้องหลัง
แฟ้มประวัติอาชญากรรมของ “อาเฮ้า” หรือ “ตู้ห่าว”ระบุว่า.. เขาเป็นชาวจีนได้สัญชาติไทย มีชื่อ นามสกุลไทย ธุรกิจที่เปิดเผย คือ เป็นหุ้นส่วนใหญ่บริษัททัวร์แห่งหนึ่งทางภาคใต้
เส้นทางทำมาหากินต้องจัดว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง เพราะได้แรงส่งจากภรรยา ซึ่งเป็นคนในเครื่องแบบ เป็นถึงหลานแท้ๆของอดีตบิ๊กตำรวจ โด่งดังทางภาคอีสาน มีชื่อทั้งในแวดวงการค้า การเมือง
ต่อมาเกิดความขัดแย้งกับบริษัททัวร์คู่แข่ง ถึงกับส่งลูกน้องไปเผาสำนักงาน มีคดีร่วมกันพยายามฆ่า ขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่หลายปี สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง รอดคุกตะรางมาได้ทั้งผัว ทั้งเมีย
ต่อมาขยายสาขามารองรับนักท่องเที่ยวจีน แถวลาดกระบัง ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ
ว่ากันว่า มีการระดมทุนจีนนับพันล้าน แต่ถึงคราวซวยมาเจอปัญหาเศรษฐกิจลุกลาม พร้อมกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 "อาเฮ้า" จึงเบนเข็มหาตัวช่วย หารายได้พิเศษมาหล่อเลี้ยงธุรกิจทัวร์ ด้วยการเปิดบ่อน พร้อมแหล่งมั่วสุม บริการเศรษฐี กุมารจีน ในกทม.
ประวัติพอสังเขปของอาเฮ้า หรือ ตู้ห่าว มีประมาณนี้ ส่วนเส้นทางที่นำเขาโคจรมาพบกับนักการเมืองคนดัง น่าจะมาจากความยิ่งใหญ่ของบิ๊กตำรวจน้าเขย เข้าทำนอง...ฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมาเจอกัน! ความบันเทิงจึงเกิดขึ้น นักการเมืองใหญ่เข้าถือหุ้นกับบริษัททัวร์ของ “ตู้ห่าว” พร้อมกับเปิดโรงงานจิวเวอร์รี่ของตัวเอง ในพื้นที่การเมือง
เรียกว่า ถ้าใครต่อจิ๊กซอว์ไม่ถูก ก็ต้องร้องดังๆ ถามดังๆ ว่า “อิหยังวะ” แต่มันก็เป็นไปแล้ว เพื่อย้ำให้เห็นสัมพันธ์อันแนบแน่น ระหว่าง อาเฮ้า-ตู้ห่าว มาเฟียมังกรจีน ที่กำลังผยองอยู่ในสังคมไทยว่าเขาเข้าสู่อำนาจ มีเส้นมีสายมาได้อย่างไร
เมื่อรู้จักนักการเมืองใหญ่ที่ชื่นชอบธุรกิจสีเทาทุกรูปแบบ มีหรือจะหยุดแค่นั้น หนักกว่านักการเมืองใหญ่ ก็คือ "น้องชายสุดเลิฟ" ของผู้มีอำนาจตัวจริง เสียงจริง ในแวดวงการเมือง
สายนี้คือ ซูเปอร์พาวเวอร์ ไม่ว่าจะทำอะไรไฟเขียวผ่านตลอด ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง นักเลง นักข่าว ไม่มีใครกล้า แต่เหมือนว่ากรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี เมื่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร. ได้แต่งตั้ง “พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง” ผบช.น.คนใหม่ มาเพื่อปัดกวาดความสกปรกเน่าเหม็น ที่หมักหมมอยู่นาน ปฏิบัติการปัดกวาดบ้านตัวเองจึงเกิดขึ้นเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา
ถึงกระนั้นขบวนการมังกรจีนที่ขายอิทธิพลในกรุงเทพฯ ก็ยังไม่หมดฤทธิ์ไปง่ายๆ “อาเฮ้า” หรือ “ตู้ห่าว” เพียงแค่โดนสะกดจิต ยังเหลือมาเฟียจีนระดับ “ตัวตึง” อีกหลายคน ทั้งหญิง ทั้งชาย เช่น "มู่หลาน".. "เดวิด".. "โทนี่"..และอาซ้อต่างๆ อีกหลายยี่ห้อ
คนจีนเหล่านี้เข้ามาฝังตัวในประเทศไทยนานหลายปี มีทั้งสมัครใจเป็นสามีจดทะเบียนสมรสกับลูกหลานคนใหญ่คนโต บ้างยอมเป็นอนุภรรยา หรือภรรยาตัวจริง ของข้าราชการระดับสูงของไทย มีทั้งทหาร ตำรวจ แนบแน่นขนาดนี้ มาเฟียจีนจึงอยู่ยั้งยืนยง ไม่มีใครกล้าแตะ หรือกว่าจะกล้าก็แทบสายเกินไป เพราะทุกวันนี้สถานบริการระดับ 4-5 ดาวใน กทม. ล้วนแอบบริการ “อัปยา-เสพยา” แถมยังสามารถฝากยาเสพติดไว้ในผับบาร์ได้อีกต่างหาก เหมือนกับการฝากเหล้า ยังไงยังงั้น !!??
ขณะที่มีเรื่องอื้อฉาวอยู่นี้ “อาเฮ้า –ตู้ห่าว” ยังแยกสาขาบ่อนกาสิโนขนาดใหญ่จากกรุงเทพฯ สู่ จ.สมุทรปราการ โดยเปิดบริการที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านบางปู และท้องที่สำโรงเหนือ
นอกจากนั้น ยังข้ามฝั่งมาเตรียมการอยูที่ซอยสุขสวัสดิ์ 37/1 ท้องที่ สภ.พระประแดง รวมทั้งหมด 3 แห่ง ทำกันแบบไม่ต้องเกรงกลัว เกรงใจกฎหมายไทย!! ??
สลับฉากจาก “อาเฮ้า-ตู้ห่าว” ถึงคิว “โทนี่ ยิบ” หรือเสี่ยหนวด เจ้าพ่อมังกรจีนอีกคนหนึ่งที่แอบแรงมานาน “โทนี่ ยิบ”เป็นหุ้นส่วนใหญ่เจ้าของกิจการผับระดับ 5 ดาว ทั้งย่านอาร์ ซี เอ ย่านทองหล่อ และรัชดาฯ
แน่นอนว่า กิจการของเขาแอบแฝงค้ายาเสพติด และเปิดบริการมั่วเซ็กซ์ เผลอก็แอบเปิดบ่อนเป็นที่ครื้นเครงไม่เกรงใจใคร
โทนี่ ยิบ อายุราว 40 ปีเศษ รูปหล่อแต่งกายเท่ห์มีรสนิยม ที่สำคัญมีการ์ดชาวรัสเซีย รูปร่างราวกับยักษ์ปักหลั่น 2-3 คน คอยเดินประกบหน้าหลังตลอด โผล่ไปไหนทีมักเป็นเป้าสายตาของผู้คนโดยเฉพาะสาวๆ
อาณาจักรของ “โทนี่ ยิบ” คือย่านทองหล่อ สุทธิสาร ห้วยขวาง และเส้นสายของเขาอยู่ในเครือข่าย "น้องชายสุดที่รัก" ของผู้มีอำนาจในรัฐบาลเช่นกัน
มาเฟียจีนตัวเอ้ที่ขอนำเสนอในวันนี้อีกคนก็คือ "เดวิด" รายนี้เส้นทางไม่ต่างกับรายอื่น หากินกับการเปิดสถานบริการขนาดใหญ่ และแอบขายยาเสพติดให้นักเที่ยวอัปยา กันตามสะดวก สามารถเต้นรำกันได้ถึงเช้า มีทำเลทองอยู่ ย่านรัชดาฯ อักษรย่อ T-O และเอกมัย B-F
ขณะที่ "เฮียชู" ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เมื่อวันก่อนก็โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า มี "คลิปลับ บ่อน+ผับอัปยา จีน" โดยแนะว่า หากไม่ตั้ง “ศูนย์ปรามปรามอาชญกรรมจีน” อย่างที่แนะนำไป จะต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับ “แก๊งกุมารมังกรจีน” แน่
เนื่องเพราะ เมืองไทย คือเป้าหมายหลัก ด้วยความอ่อนแอของระบบราชการ คอร์รัปชัน ต่อไปจะเป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมจีน ที่แฝงตัวเข้ามาทุกรูปแบบ
สภาพเป็นบ่อนสมบูรณ์แบบ คนเล่นพูดภาษาจีน พนักงานเป็นคนจีน
“เฮียชู” ยังแฉอีกว่า บ่อนเหล่านี้มีเส้นสาย วันที่ตำรวจบุกจับ โต๊ะกับอุปกรณ์ถูกขนออกไปเพียง 1 วัน ก่อนตำรวจจะมาถึง เพราะมี“พรายกระซิบ” ไม่งั้นงานนี้ป่นปี้มากกว่าเดิม เพราะครบวงจรทั้ง บ่อน ผับ ยา
“เฮียชู” บอกว่า ข้อมูลมี แต่อยู่ที่คำถามเดิม คือจะเอาจริง หรือตีกิน ? เป็นคำถามที่ถามซ้ำๆ มาเป็น 10 ปีแล้ว กับตำรวจทุกยุค
ยิ่งครั้งนี้ ลูกค้าเป็นคนจีน 100% ทุนหนา จ่ายไม่อั้น "คนจีนเปิด คนจีนจ่าย คนจีนเล่น" เฮียชูปิดท้ายดังที่ว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่มองมุมไหนก็น่ากลัวหากปล่อยให้เรื้อรัง
ต้องไม่ลืมว่า รอบๆ บ้านเราก็มี อาชญากรชาวจีนที่ตั้งตนเป็นมาเฟีย ทำบ่อนกาสิโน เปิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำมาหากินเป็นล่ำเป็นสัน. ฟังว่ากลุ่มมาเฟียเหล่า นี้พร้อมที่สลายปีกเช้ามาไทยได้ทุกเมื่อ เผลอๆ ก็เข้ามาแล้วด้วย จาก "สีหนุวิลล์" กัมพูชา เพราะรัฐบาลเขมร โดย “สมเด็จฮุนเซน” ตอนนี้ปราบปรามหนัก
ทั้งหมด คือ การบ้านสำคัญของ “พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์” ผบ.ตร. และ “พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง” ผบช.น.ว่าท่านจะนำความสว่างมาสู่สังคมไทย สังคมคนเมืองหลวง โดยไม่ต้องหวั่นเกรงกับคนมีอำนาจ ไม่ต้องสนหน้าอินทร์ หน้าพรหม ที่ทำผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะความเน่าเฟะไม่แค่นักเที่ยวจีน ไฮโซจีนเท่านั้น แต่มันยังมีเยาวชนคนไทยอีกจำนวนมากที่หลงอยู่ในวังวนชั่วร้ายนี้
วันเวลาข้างหน้าจะพิสูจน์ผลงานของท่าน ส่วนสังคมก็คงต้องติดตามกันต่อไป อย่าให้เป็นเหมือน "ไฟไหม้ฟาง" เคลียร์กันลงตัวเหตุการณ์ก็เงียบสงบ ทุกอย่างสลายกลายเป็นอากาศธาตุ
ขอล่ะ..อย่ากระนั้นเลย ลุยได้ลุยเลยครับท่าน!!
**ดรามา “ชวน-แม้ว”!! ทนายแฉ “นายหัว”เบี้ยวศาล 4 รอบ ยังกล้ามาตีกินแบบเอาดีใส่ตัว
สองวันก่อน “ราเมศ รัตนเชวง” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการประธานรัฐสภา และทนายความของ “ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภา ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงเรื่องคดี ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” มอบอำนาจทนายความ แจ้งความดำเนินคดี “ชวน หลีกภัย” ข้อหาหมิ่นประมาท ที่ไปบรรยายในงานโรงเรียนการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วมีการพูดถึง การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ “รัฐบาลทักษิณ” จากกรณี กรือเซะ ตากใบ ว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ที่ไปมองว่าเป็นฝีมือของ “โจรกระจอก”
ทนายของทักษิณ ไปแจ้งความดำเนินคดี “นายหัวชวน” เมื่อวันที่ 28 ต.ค.55 และ วันที่ 28 ต.ค.65 นี้ ก็จะขาดอายุความ เพราะครบ 10 ปี แต่สำนวนยังอยู่ที่ตำรวจ ยังไม่ถึงมืออัยการ ... “ชวน” จึงสั่งให้ “ราเมศ” ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ ให้ดำเนินการในเรื่องนี้ อย่าปล่อยให้คดีหมดอายุความเป็นอันขาด เพราะองค์กรตำรวจ และอัยการจะเสียหาย
เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา “ราเมศ” จึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำตัว “ชวน หลีกภัย” ไปรับทราบข้อกล่าวหา พิมพ์ลายนิ้วมือ ส่งฟ้องศาล และประกันตัวเสร็จสรรพ
หลังผ่านกระบวนการ ตกเป็นผู้ต้องหาโดยสมบูรณ์แล้ว “ชวน หลีกภัย” บอกว่า คดีจะหมดอายุความ 28 ต.ค.นี้อยู่แล้ว แต่คดียังอยู่ที่สถานีตำรวจ ยังไม่มีหมายเรียกมาถึงตนเลย ถ้าต้องรอหมาย คดีอาจจะขาดอายุความได้ เลยให้ “ราเมศ” ไปดำเนินการ เพราะส่วนตัวถือหลักว่าทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และทุกคนต้องรับผิดชอบ
“ผมเป็นคนพูดอะไรพูดตรง ไม่พูดอะไรที่ไม่จริง และเมื่อพูดแล้วก็ต้องรับผิดชอบกับคำพูด เมื่อมีคดีเกิดขึ้น ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย”
เมื่อ “นายหัวชวน” ว่ามาอย่างนี้ วันรุ่งขึ้น “นรวิชญ์ หล้าแหล่ง” ทนายความของทักษิณ ก็ออกมาสวนทันทีว่า คดีนี้ได้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.วัดพญาไกร ตั้งแต่ปี 55 ถึงเวลานี้ก็เกือบจะ10 ปีอย่างที่ว่า... ต้องย้อนถาม“นายชวน” ว่าใครกันแน่ ที่ทำให้คดีล่าช้ามาถึงขนาดนี้ และขอถามอีกว่า ได้ยึดหลักเคารพกฎหมาย อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และพร้อมสู้คดี จริงหรือ...
“ทนายนรวิชญ์” บอกว่าหลังจากแจ้งความ ก็ได้ติดตามคดีมาโดยตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้มีหมายเรียกให้ “ชวน หลีกภัย” มารับทราบข้อกล่าวหาแล้วถึง 4 ครั้ง แต่นายชวนผัดผ่อน ขอเลื่อน ไม่ได้มารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ซึ่งเป็นเหตุให้คดีล่าช้ามาถึงเกือบจะ10 ปี ผมเป็นทนายความและทำคดีมาจะ30 ปี ยังไม่เคยเห็นคดีไหนล่าช้าเท่าคดีนี้ ถ้าเป็นคดีชาวบ้านธรรมดาๆ คงจบไปนานแล้ว...
ขอย้ำว่า การที่คดีล่าช้าเกือบจะถึง10 ปี สาเหตุมาจากการที่ “นายชวน” ไม่มารับทราบข้อกล่าวหา ไม่ใช่องค์กรตำรวจ หรืออัยการทำคดีล่าช้า!!
“นรวิชญ์” ยังทิ้งท้ายด้วยการฝากข้อคิด คำคม แบบไม่กลัวมีดโกนตวัดกลับว่า... อย่าพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น !!
อย่างไรก็ตาม “ทนายชวน” ราเมศ รัตนะเชวง ก็ออกมาตอบโต้ “ทนายแม้ว” นรวิชญ์ ว่า ได้บอกไปแล้วว่า ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวน มีหมายเพื่อนัดวันเวลากัน แต่ปรากฏว่า มีเวลาไม่ตรงกัน จึงมีการเลื่อนเวลานัดพบ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในทางคดี พนักงานสอบสวนก็แจ้งนัดหมายกันใหม่ แต่ระยะหลังก็ไม่ได้มีการนัดหมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนกระทั่งคดีเงียบหายไป ทุกฝ่ายก็คิดว่ายุติไปแล้ว ไม่ได้มีเจตนาจะหลบหนี หรือประวิงคดี เพราะถ้าจะประวิง หรือคิดหลบหนี คงไม่เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการ และที่สำคัญ “นายชวน” ไม่เคยคิดหนีคดีเหมือน “นายทักษิณ” ส่วนเรื่องที่ถามว่าจะสู้คดีจริงหรือไม่นั้น...เอาไว้เจอกันที่ศาล ไม่มีหนีคดีแน่นอน !!