เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการประชุมสภาความมั่นคงแหงชาติ คร้ังที่ 4/2565 ว่า ที่ประชุมมีการหารือการยกระดับการจัดระเบียบชายแดนเพื่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อเสริมศักยภาพ พื้นที่ชุมชน และระบบบริหารจัดการชายแดน ซึ่งครอบคลุมเรื่องการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในการป้องกันพื้นที่ชายแดน การเสริมสร้างเอกภาพในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาระบบเช่ือมโยงข้อมูล การเพิ่ม ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคส่วนอื่นนอกภาครัฐ โดยให้หน่วยงานของรัฐและภาคีเครือข่ายได้ประสานการดําเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาชายแดน
พล.อ.สุพจน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยที่ประชุมได้เสนอความเห็นเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ใน 7 ประเด็นสําคัญ ได้แก่
1. แนวทางการป้องกัน เหตุความรุนแรง
2. การปรับแนวทางการพูดคุยเพื่อสันติสุขที่ต้องสอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
3. การเสริมสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศที่ต้องใกล้ชิดและต่อเนื่อง
4. การบริหารจัดการงานการศึกษาในพื้นที่ต้องเหมาะสมกับบริบทพื้นที่ และการส่งเสริมเยาวชน ให้อยู่ร่วมกันในความหลากหลายทางวัฒนธรรม
5. การบริหารจัดการพื้นที่ที่ต้องเสริมความมันคงมั่งคั่ง และยั่งยืน โดยเน้นความต้องการของประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนา ที่ต้องใช้กลไกสภาสันติสุขตําบลเป็นหลัก เพื่อให้เข้าถึงความต้องการ ของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง
6. การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการบริหารจัดการภาครัฐ ที่ ต้องมีการบูรณาการร่วมกันกับ ทุกภาคส่วน โดยเน้นให้มีการทํางานร่วมกับจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้น
7. การเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่ รัฐที่ต้องมีความเข้าใจแนวนโยบายของรัฐ และเน้นยํ้าให้การปฏิบัติงานต้องไม่สร้างเงื่อนไขใหม่อีก
พล.อ.สุพจน์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบแผนการสนับสนุนการศึกษาของนักเรียนและนักศึกษาไทยมุสลิมที่ศึกษาต่อในต่างประเทศ (พ.ศ. 2566-2570 ) ให้ความสําคัญกับการพัฒนานักศึกษาไทยมุสลิมที่เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สําคัญ ให้สําเร็จการศึกษาในสาขาที่มีคุณภาพ มีภูมิคุ้มกันทางความคิด มีความเข้าใจและร่วมสนับสนุนบรรยากาศอยู่ร่วมกันภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม พร้อมกลับมาเป็นกําลังสำคัญและมีศักยภาพที่จะพัฒนาพื้นที่และประเทศ
ทั้งนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบร่างแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. 2566-2570) เพื่อเป็นกรอบทิศทางในการจัดทําแผนงานและโครงการด้านการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเลแบบองค์รวม เพื่อให์สามารถรับมือและจัดการภัยคุกคามทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเตรียมการรักษาความปลอดภัยในห้วงการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation) โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เตรียมการรักษาความปลอดภัยและการอํานวยความสะดวกการจราจร ตลอดจนความพร้อมในด้านกฎหมายรองรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความมั่นใจในการดําเนินการมากยิ่งขึ้น
“ที่ประชุมได้รับทราบแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงและความเสี่ยงภัยคุกคามในห้วงปี พ.ศ. 2566 โดยให้มีการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมในการจัดการภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงที สําหรับสถานการณ์ระหว่างประเทศที่สําคัญ อาทิ สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน โดยไทยยึดมั่นการเคารพในหลักการแห่งอํานาจอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน รวมทั้งสนับสนุนให้ทุกฝ่ายใช้ความพยายามในการเจรจาแก้ไขสถานการณ์โดยสันติวิธี สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา เน้นย้ำการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและดําเนินการตามคู่มือขั้นตอน การปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน (SOP) อย่างเคร่งครัด และการจัดทําแผนระดับที่ 3 รองรับนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566-2570 ) เพื่อถ่ายทอดนโยบายไปสู่การปฏิบัติผ่านแผนงาน โครงการให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม” พล.อ.สุพจน์ กล่าว