เพจพรรคก้าวไกล โพสต์ระบุว่า ปัญหาชายแดนใต้ต้องแก้ด้วยการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่ใช่การบังคับเก็บ DNA เด็ก
ก้าวไกลชายแดนใต้/ปาตานี เรียกร้องทหารหยุดละเมิดสิทธิประชาชน กรณีทหารเก็บ DNA เด็กทารก ญาติอับดุลเลาะ อีซอมูซอ วัย 10 เดือน
รอมฎอน ปันจอร์ คณะทำงานยุทธศาสตร์และนโยบายชายแดนใต้/ปาตานี พรรคก้าวไกล ได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงความน่าเป็นห่วงของสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมาขอเก็บ DNA เด็กน้อยวัย 10 เดือนใน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ทำลายหลักการของมนุษยชนอย่างร้ายแรง และบั่นทอนความไว้วางใจของประชาชนที่อาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายได้
กรณีดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2565 มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. สายบุรีและทหารพราน ฉก. 44 ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านประชาชนแห่งหนึ่งซึ่งภายในบ้านมีผู้หญิง 2 คน และเด็กชายอายุ 10 เดือน 1 คน ซึ่งแม่ของเด็กหญิงเป็นญาติของนายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ชายมุสลิมที่เสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร ทำอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า รายได้ประมาณ 4,000 บาท/เดือน โดยภายหลังในวันเดียวกันได้มีการเชิญตัวไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ สภ.สายบุรี โดยทางเจ้าหน้าที่พยายามขอเก็บ DNA ของเด็กอายุ 10 เดือน แต่ฝ่ายแม่ยืนกรานไม่ยินยอม เจ้าหน้าที่จึงมีการข่มขู่ว่าจะมาทุกวันและจะควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
รอมฎอน กล่าวว่ากรณีดังกล่าวนี้ทำให้บรรยากาศความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่รัฐเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะคนทั้งสังคมไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธหรือมุสลิมล้วนเห็นตรงกันว่าเด็กๆ ซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมที่เปราะบางที่สุดนั้นไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับความรุนแรงหรือความขัดแย้งของผู้ใหญ่
เรื่องทำนองนี้ยังเกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเก็บดีเอ็นเอผู้บริสุทธิ์ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีกฎหมายใด ๆ อนุญาต ต่อให้อ้างกฎหมายพิเศษทั้ง 3 ฉบับ ก็ยังไม่มีข้อบัญญัติส่วนไหนที่ให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและทหาร สนธิกำลังกันล้อมบ้านประชาชนหรือเรียกตัวไปที่ตั้งและชี้นิ้วขอเก็บตัวอย่างของเด็กชายอายุเพียงแค่ 10 เดือนได้
แม้เจ้าหน้าที่จะจับตาและระแวงสงสัยคนเป็นพ่อหรือใครก็ตาม ก็ไม่มีสิทธิใช้อำนาจที่เกินเลยทะลุฟ้าเช่นนี้ แม้แต่นักโทษเด็ดขาดก็ยังไม่มีกฎหมายให้อำนาจที่จะเก็บดีเอ็นเอ ไม่พักต้องพูดถึงการเก็บข้อมูลชาวบ้านธรรมดาและเด็กที่ยังเดินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ สะท้อนภาพที่ใหญ่กว่าก็คือปัญหา “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่แห่งนี้ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญเท่าไหร่ ที่เป็นเช่นนั้นอาจเพราะการใช้อำนาจพิเศษจนคุ้นเคยคุ้นชิน โดยไม่สนใจหัวจิตหัวใจของผู้คน
“นี่คือเหตุผลที่พรรคก้าวไกล เสนอนโยบายรื้อ โละ บรรดากฎหมายความมั่นคงและกฎหมายพิเศษ แล้วยกร่างขึ้นมาใหม่ ทำให้การใช้อำนาจของรัฐชอบธรรมมากขึ้น ที่สำคัญคือเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน มองชีวิตของผู้คนเป็นของศักดิ์สิทธิ์จะละเมิดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ รวมทั้งต้องมีคนมาตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้ถืออาวุธอย่างจริงจัง ไม่ให้ทหารใช้อำนาจเหนือประชาชนได้อย่างตามอำเภอใจ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันให้เกิดขึ้น เราเชื่อว่าพักใต้จะสงบสุขได้ด้วยการยินยอมพร้อมใจ ไม่ใช่เ้วยการใช้อำนาจพิเศษเหนือกฎหมายมาบังคับ” รอมฎอน กล่าว