xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” ชี้ สธ.ก้าวอีกขั้นใช้กัญชาลดปัญหายาบ้า ชูวิจัยติดยากสุด-บรรเทาอาการคลั่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โฆษก คกก.ประชาสัมพันธ์กัญชา เผย สธ.ก้าวไปอีกขั้น ใช้กัญชาลดปัญหายาบ้าอาชญากรรม ยกผลวิจัยต่างชาติเสพติดได้น้อยที่สุด ทำค่าใช้จ่ายยาลด ลดเสี่ยงเบาหวาน-มะเร็ง ยกตำราไทยชี้บรรเทาอาการคลั่ง ดักฆ่าตัดตอนแก้ไม่ยั่งยืนตราบใด จนท.มีเอี่ยว จี้นักการเมืองมีวิสัยทัศน์ ควรเร่ง กม.กัญชาให้ผ่าน

วันนี้ (20 ต.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์​ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะโฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในเรื่องความคืบหน้าของกัญชา มีเนื้อหาระบุดังนี้

เมื่อวันที่ 11 ตุลาม 2565 นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ เป็นประธานในการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ ครั้งที่ 2/2565

ซึ่งการประชุมในครั้งนี้ได้กล่าวถึงความสำคัญของการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (Harm Reduction) ความหมายคือ การลดปัญหา หรือภาวะเสี่ยงอันตราย การแพร่ระบาด การสูญเสียจากยาเสพติด

เนื่องจากมติที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. 2016 (UNGASS 2016) แนะนำให้ภาคีกำหนดให้มีมาตรการทางเลือกกับผู้เสพยาเสพติด เพื่อผู้เสพเข้าสู่การบำบัดรักษา เช่น การนำมาตรการลดอันตรายจากยาเสพติด (Harm Reduction) รวมถึงการพัฒนาทางเลือก (Alternative Development) มาปรับใช้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นไปอย่างยั่งยืน

กัญชา ถูกนำมาใช้ในการลดอันตรายจากการใช้ยาและยาเสพติดที่รุนแรง (Harm Reduction) ในต่างประเทศมีงานวิจัยในการนำสาร CBD (ซีบีดี) ในกัญชามาใช้บำบัดการติดยาแอมเฟตามีน เช่น ในแวนคูเวอร์ แคนาดา ปี 2021 (พ.ศ. 2564) มีโครงการใช้กัญชาเพื่อลดอันตรายจากการใช้สารเสพติดอื่นๆได้ สามารถทดแทนการใช้สารกลุ่มกระตุ้นจิตประสาทได้ถึง 50% ทดแทนการใช้โอปิออยด์ได้ถึง 31%

ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ปี 2021 (พ.ศ. 2564) การใช้กัญชาอาจเป็นทางเลือกทางการแพทย์ที่ปลอดภัยกว่าการใช้โอปิออยด์ เพิ่มการเข้าถึงการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด ทางด้านทรัพยากรและการรักษา

ในโคโลราโด สหรัฐอเมริกา ปี 2005 (พ.ศ. 2548) ในประชากรส่วนใหญ่ที่ใช้กัญชา จะไม่ไปใช้ยาเสพติดที่รุนแรงกลุ่ม Hard drugs ฯลฯ ในประเทศไทยก็มีผลงานวิจัยองค์ความรู้การแพทย์แผนไทยเรื่องนี้เช่นกัน เช่น ตำรับยาอดฝิ่นที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม

การประชุมในครั้งนี้ได้เน้นเรื่องการพัฒนาการนำกัญชามาใช้ในการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดที่รุนแรง เช่น ยาบ้า ซึ่งเป็นปัญหามากในปัจจุบันของประเทศ จึงได้จัดตั้งคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมสุขภาพจิต สถาบันกัญชาทางการแพทย์ ฯลฯ มาช่วยกันพัฒนาจัดทำแนวทางลดอันตรายจากยาเสพติด (Harm Reduction) อย่างจริงจัง

รวมถึงจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านงานวิจัยกัญชาทางการแพทย์ เพื่อรวบรวม พัฒนา ต่อยอดองค์ความรู้ในด้านกัญชาทางการแพทย์ของประเทศไทย

“ยาบ้า ไม่เท่ากับกัญชา เมื่อเทียบกับยาบ้าแล้ว กัญชาไม่เป็นปัญหายาเสพติด ยาบ้าต่างหากเป็นปัญหาหลักของยาเสพติด” นายแพทย์ประพนธ์ ได้กล่าวทิ้งท้าย [1]


ข่าวดังกล่าวข้างต้น คือ ความก้าวหน้าที่สำคัญของกระทรวงสาธารณสุข ที่นำข้อมูลและถอดบทเรียนจากประเทศที่ใช้กัญชาทั่วโลก เพื่อทำให้กัญชาไปไกลมากกว่าเพื่อใช้ทางการแพทย์ สุขภาพ และเศรษฐกิจแล้ว แต่กำลังจะก้าวไปสู่การลดปัญหายาเสพติดที่รุนแรง เพื่อนำไปสู่การลดปัญหาทางสังคม และการลดอาชญากรรมในประเทศด้วย

จึงต้องตั้งต้นการย้อนกลับไปที่งานวิจัยในปี พ.ศ. 2554 เสนอผ่านวารสารการเสพติดยาและแอลกอฮอล์ Drug and Alcohol dependence เป็นงานวิจัยที่ศึกษากลุ่มประชากรขนาดใหญ่ โดยมีการสำรวจตัวอย่างผู้สูบบุหรี่ 15,918 คน, แอลกอฮอล์ 28,907 คน และกัญชาก็มีการสำรวจมากถึง 7,389 คน พบว่า นับตั้งแต่ใช้ครั้งแรกที่สูบบุหรี่จะมีโอกาสจะเสพติดบุหรี่สูงสุด 67.5%, ครั้งแรกที่ดื่มเหล้ามีโอกาสติดเหล้าสูงสุด 22.7% และหากสูบกัญชาครั้งแรกจะมีโอกาสติดกัญชาสูงสุดเพียง 8.9% เท่านั้น [2]

ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านในสหรัฐอเมริกา ประกอบไปด้วย 1) ศาสตราจารย์ แจค อี. เฮนนิ่งฟิลด์ (Jack E. Henningfield) ผู้เชี่ยวชาญด้านสารเสพติด มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ทำงานให้หลายองค์กรสำคัญ เช่น NIDA, FDA, DEA 2) ศาสตราจารย์ นีล แอล. เบนโนวิทซ์ (Neal L. Benowitz) ศูนย์วิจัยยาสูบ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองซานฟรานซิสโก และ 3) รองศาสตราจารย์แดเนียล์ เอ็ม. เพอร์รีน (Daniel M. Perrine) วิทยาลัยโลโยลา เมืองบัลติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ ได้ให้คะแนนจัดลำดับการจัดฤทธิ์การเสพติด 6 ชนิดพบว่า….

ในบรรดาสารเสพติด 6 ชนิด สิ่งที่ติดง่ายที่สุดไปหาน้อยที่สุดตามลำดับ คือ บุหรี่, เฮโรอีน, โคเคน, แอลกอฮอล์, กาแฟ, และ กัญชา [3], [4]

ดังนั้น กัญชาจึงมีฤทธิ์เสพติด “น้อยที่สุด” และ น้อยกว่าหรือใกล้เคียงกับ “กาแฟ” เท่านั้น [3], [4] โดยองค์การสหประชาชาติได้มีการประมาณการว่าในปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมามีผู้ใช้กัญชาจากทั่วโลกมากถึง 209 ล้านคนแล้ว [5]

ความจริงปรากฏต่อมาในวารสารห้องสมุดสาธารณะทางด้านวิทยาศาสตร์ PLoSOne ได้เผยแพร่ บทความวิจัยในเรื่องผลกระทบของการให้กัญชาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกาต่อกลุ่มธุรกิจยา โดยเผยแพร่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 โดยเป็นวิจัยในมลรัฐที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมาย (ทั้งทางการแพทย์และนันทนาการ) ในช่วง 22 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539-2562 พบว่า “ยอดขายยาโดยรวมลดลง”

โดยกฎหมายที่ทำให้กัญชาถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกาจะส่งผลทำให้ยอดขายต่อปีของผู้ผลิตยา “ลดลง” ประมาณ 3 พันล้านเหรีญสหรัฐฯต่อปีโดยเฉลี่ย และยังคาดการณ์อีกด้วยว่า 16 มลรัฐที่เหลือที่ยังไม่ได้ทำให้กัญชาถูกกฎหมายหากทำให้กัญชาถูกกฎหมายแล้วจะทำให้ค่าใช้จ่ายยาแผนปัจจุบันต่างๆลดลงไปประมาณ 11% [6]

เช่นเดียวกับวารสารเศรษฐกิจสุขภาพ Health Economics ฉบับตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 2565 ในการสำรวจการจ่ายยาในมลรัฐของสหรัฐอเมริกาหลังได้ดำเนินการให้ “การนันทนาการเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย” พบว่า มีการลดการจ่ายยาต่างๆ ลง คือ ประชากรใช้ยาแก้อาการซึมเศร้าลดลงไป 11.1%, ประชากรใช้ยาแก้วิตกกังวลลดลงไป 12.2%, ประชากรลดการใช้ยาแก้ปวดไป 8%, ประชากรลดการใช้ยาโรคลมชักไป 9.5%, ประชากรลดยาโรคจิตไป 10.7%, ประชากรลดการใช้ยานอนหลับไป 10.8% [7]

วารสาร BMJ Journal/ BMJ Open ในหมวดงานวิจัยเกี่ยวกับโรคเบาหวานและวิทยาต่อมไร้ท่อ เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ. 2555 พบเรื่องที่น่าสนใจอีกด้วยว่าประชากรที่ยิ่งบริโภคกัญชากลับลดความเสี่ยง “โรคเบาหวานไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว” [3], [8]

นอกจากนั้น วารสาร Cancer Medicine ซึ่งยอมรับให้ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 โดยเป็นการรวบรวมผลการศึกษาจากฐานข้อมูลของthe UK Biobank 500,000 คน เริ่มเก็บข้อมูล ปี พ.ศ. 2549 ติดตามไปนาน ถึง 14 ปีและวิเคราะห์ผล ณ ปี พ.ศ. 2563 พบว่า

คนที่ไม่เคยใช้กัญชา เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก 4%, แต่คนที่เคยใช้กัญชาเป็นมะเร็งต่อมลูกมากน้อยกว่า โดยเป็นเพียง 2% หรือต่างกัน 2 เท่าตัว คนที่ไม่เคยใช้กัญชา เป็นมะเร็งไต 0.16%, แต่คนที่เคยใช้กัญชาเป็นมะเร็งไตน้อยกว่า โดยเป็นเพียง 0.08% หรือต่างกัน 2 เท่า [3], [9]

จากเหตุผลดังกล่าวสะท้อนความสนใจในศักยภาพของกัญชาในเรื่องทางการแพทย์และสุขภาพ (รวมทั้งบทบาทส่งเสริมสุขภาพ) นั้น มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำกัญชาเป็นหนึ่งยุทธศาสตร์เพื่อลดความรุนแรงของยาเสพติด ทั้งในมิติเพื่อ ลด การเลิก หรือมาแทนยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ทางจิตในการกระตุ้นประสาท [10] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการก่อความรุนแรงหรือการก่ออาชญากรรม

เพราะกัญชาเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์หลายด้าน แม้จะใช้ “เกินขนาด” ก็ออกฤทธิ์ทำให้เกิดเมามึนแล้วเกิดความขาดกลัว (ที่ก่อให้เกิดอาการเข็ดขยาด หรือระวังตัวไปเองตามธรรมชาติ) หรือ การทำให้นอนหลับ ซึ่งเป็นกลไกที่ “ไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นทางจิตประสาท” ให้ไปทะเลาะวิวาท หรือก่ออาชญากรรม ซึ่งคุณลักษณะนี้แตกต่างจากทั้งเหล้า และยาบ้าอย่างสิ้นเชิง

ในทางตรงกันข้ามกัญชาอาจจะมีบทบาทในการบำบัดเพื่อลดอาการกระตุ้นประสาทให้บ้าคลั่งในเนื่องมาจากเหล้าและยาบ้าได้ด้วย

ภูมิปัญญานี้มีอยู่ในการแพทย์แผนไทยแล้ว ปรากฏในตำราสรรพคุณยาในตำรา “แพทย์ประจำบ้าน” ที่ พระทิพจักษุสาสตร์ หรือ พระยาแพทย์พงศาพิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช) แพทย์ประจำพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อ 107 ปีที่แล้ว ซึ่งระบุความตอนหนึ่งว่า

กัญชามีสรรพคุณ เป็น “ยาสงบเส้นประสาท” และบรรเทาอาการ “คลั่งเพ้อ” [11] นอกจากนั้น ยังปรากฏว่า ทั้ง “กัญชา” และ “กระท่อม” ได้ถูกนำมาใช้ในตำรับยาไทยในตำราแพทย์แผนไทยของขุนโสภิตบรรณรักษ์เพื่อ “อดฝิ่น” อีกด้วย [12]

น่าเสียดายที่คนไทยจำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญหรือไม่เชื่อภูมิปัญญาไทยที่มาอย่างยาวนาน

แต่ในความจริงกลับปรากฏว่ากัญชาได้ถูกนำมาเริ่มต้นนำมาใช้สารสกัดแคนนาบิไดออลทั้งในกัญชาหรือกัญชง เพื่อลดการติดยากลุ่มฝิ่นหรือโอปิออยด์ รวมทั้งเฮโรอีน [13] รวมทั้งการใช้กัญชาเพื่อลดการติดโคเคนในแคนาดาอีกด้วย [14] ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการเดินตามหลังภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่มีมาก่อนทั้งสิ้น

โดยวารสารเกี่ยวกับการลดความรุนแรงจากยาเสพติดโดยตรงที่เรียกว่า Harm Reduction Journal ฉบับเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2562 นั้น คณะวิจัยชาวแคนนาดาได้ทำการสำรวจประชากรชายและหญิงประมาณ 3,110 คน อายุเฉลี่ย 40 ปี โดยเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดหรือมีปัญหาทางสุขภาพจิต 1,700 คน หรือประมาณ 83.7%

โดยกลุ่มประชากรกลุ่มนี้ประมาณ 1,515 คน หรือประมาณ 74.6% ได้ใช้กัญชาทุกวันประมาณ 1.5 กรัม ประชากรส่วนใหญ่ 953 คนใช้เพื่อแทนใบสั่งยา 69.1% ซึ่งรวมถึงการลดยาในกลุ่มฝิ่นหรือโอปิออยด์, รองลงมาอีก 515 คนหรือประมาณ 44.5% ใช้เพื่อทดแทนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, โดยอีกจำนวน 406 คน หรือประมาณ 31.1% ใช้เพื่อทดแทนบุหรี่ และยังมีประชากรอีก 136 คน หรือประมาณ 26.6% ใช้เพื่อทดแทนยาเสพติดที่ผิดกฎหมายอื่นๆ

งานวิจัยชิ้นนี้ได้พบข้อมูลการสำรวจว่าการใช้กัญชามีบทบาทในการมาทดแทนยากลุ่มฝิ่นหรือโอปิออยด์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาเสพติดอื่นๆ และยังเห็นว่างานวิจัยกำลังมีมากขึ้นที่กำลังจะแนะนำว่าการเพิ่มขึ้นในการเข้าถึงกัญชาทั้งทางการแพทย์และนันทนาการอย่างมีการควบคุมให้เหมาะสม สามารถส่งผลทำให้ลดความรุนแรงจาก โอปิออยด์, แอลกอฮอล์ บุหรี่ และยาเสพติดอื่นๆ ได้ [15]

ต่อมาผลการศึกษาวารสารสาธารณสุขของอเมริกัน ชื่อ American Journal of Public Health (AJPH) ได้เผยแพร่งานวิจัยเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2564 ในการศึกษาที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนนาดาระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2559-2561 พบว่า 25% ของผู้ที่ใช้กัญชานั้นเพื่อลดยาที่อันตรายหรือรุนแรงอย่างอื่นที่เรียกว่า “Harm Reduction” (เช่น เฮโรอิน, ฝิ่น, โคเคน, ยาบ้า, หรือแอลกอฮอล์) และพบเหตุผลที่มากที่สุดคือใช้กัญชาเพื่อทดแทนยาเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทถึง 50% และการทดแทนกลุ่มฝิ่นหรือโอปิออยด์ที่ผิดกฎหมายอีก 31% [15]

หัวหน้าคณะวิจัยชาวแคนนาดาคนเดียวกันนี้ ได้วิจัยต่อเนื่อง และได้ทำงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารกัญชาและสารสกัดจากกัญชาในปีต่อมาชื่อ Cannabis and Cannabinoid Research เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ในการศึกษาเรื่องกัญชาแบบไปข้างหน้า (Cohort Study) ในการเฝ้าสังเกตการณ์กลุ่มประชากร 5,706 คน พบว่า การใช้กัญชาได้ประสบความสำเร็จในการทดแทนกลุ่มประชากรที่ใช้ยาที่รุนแรง โดยเฉพาะยาบ้า (Metamphetamine) และทำให้ต้องมองกัญชาเป็น “ยุทธศาสตร์” ที่จะนำมาใช้เพื่อลดปัญหาผู้ที่ใช้ยาเสพติดมากขึ้น [16]

การมองกัญชาว่าเป็นปัญหายาเสพติดแบบเดิมๆ จึงไม่สามารถแก้ปัญหายาเสพติดได้อีกต่อไป การวิสามัญฆ่าตัดตอนจะไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน ตราบใดที่เจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเป็นกลไกในการร่วมค้ายาเสพติดจำนวนมากเสียเอง

แต่ทว่าการใช้กัญชาในการลดปัญหายาเสพติดที่รุนแรงและลดปัญหาอาชญากรรมนั้นเป็นทิศทางที่กำลังดำเนินไปในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งในแคนาดา เนเธอร์แลนด์ และหลายมลรัฐในสหรัฐอเมริกา และเป็นการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่ยั่งยืนและชัดเจนกว่า

ข้อสำคัญที่สุดหากนักการเมืองที่มี “ปัญญา” และ “วิสัยทัศน์” ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดที่รุนแรงโดยใช้กัญชาเป็นยุทธศาสตร์เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ควรจะต้องช่วยกันในการเร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ให้สามารถบังคับใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ สุขภาพ เศรษฐกิจ และลดปัญหาสังคมต่อไปด้วย

อ้างอิง
[1] ผู้จัดการออนไลน์, ประชุมขับเคลื่อนผลักดันนำกัญชาลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติดที่รุนแรง แก้ปัญหาหลักยาบ้า, เผยแพร่: 11 ต.ค. 2565 15:57 ปรับปรุง: 11 ต.ค. 2565 15:57

https://mgronline.com/politics/detail/9650000097644

[2] Catalina Lopez-Quintero, et al, Probability and predictors of transition from first use to dependence on nicotine, alcohol, cannabis, and cocaine: Results of the National Epidemiologic Survey on Alcohol and Related Conditions (NESARC),Drug and Alcohol dependence, Volume 115, Issues 1-2, May 2011, Pages 120-130https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3069146/

[3] รศ.ดร.นพ.ปัตตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ผลกระทบของนโยบายกัญชาเสรีต่อเด็กและเยาชน :บทเรียนจากนานาชาติ, เอกสารวิชาการในงานสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 14 ประจำปี พ.ศ. 2565, 14 กันยายน 2565

[4] Steven C. Markoff. Is Marijuana Addictive? The Medical Marijuana Magazine. http://www.drugsense.org/.../www.../toc/addictiv.htm

[5] World Drug Report, United Nations Office on Drugs and Crime : New York, 2020, Page 60https://www.unodc.org/res/wdr2022/MS/WDR22_Booklet_1.pdf

[6] Ziemowit BednarekI, et al., U.S. cannabis laws projected to cost generic and brand pharmaceutical firms billions, plos one, Published: August 31, 2022
https://journals.plos.org/plosone/article/file?id=10.1371/journal.pone.0272492&type=printable

[7] Shyam Raman, Ashley C. Bradford, Health Economics, Recreational cannabis legalizations associated with reductions in prescription drug utilization among Medicaid enrollees First published: 15 April 2022
https://doi.org/10.1002/hec.4519

https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/hec.4519

[8] Rajavashisth TB, Shaheen M, Norris KC, Pan D, Sinha SK, Ortega J, Friedman TC. Decreased prevalence of diabetes in marijuana users: cross-sectional data from the National Health and Nutrition Examination Survey (NHANES) III. BMJ Open. 2012 Feb 24;2:e000494. doi: 10.1136/bmjopen-2011-000494.
https://bmjopen.bmj.com/content/bmjopen/2/1/e000494.full.pdf

[9] Huang J, Huang D, Ruan X, Huang J, Xu D, Heavey S, Olivier J, Na R. Association between cannabis use with urological cancers: A population-based cohort study and a Mendelian randomization study in the UK biobank. Cancer Med. 2022 Aug 17. doi: 10.1002/cam4.5132. PMID: 35975633.
https://onlinelibrary.wiley.com/doi/epdf/10.1002/cam4.5132

[10] Fischer B, Jones W, Hall W, Kurdyak P. Potential public health impacts of medical cannabis availability on opioid-related harms? Urgent but un-answered questions from Canada. Int J Drug Policy. 2019;73:96–99. doi: 10.1016/j.drugpo.2019.06.020. [PubMed] [CrossRef] [Google Scholar]

[11] พระยาแพทย์พงศาพิสุทธาธิบดี (สุ่น สุนทรเวช), แพทย์ประจำบ้าน, พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๕๘ หน้า ๑๗๒

[12] ขุนโสภิตบรรณลักษณ์ (อําพัน กิตติขจร), ตำรับยาอดฝิ่น, คัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ เล่ม 3 พ.ศ. 2504

[13] Hurd YL, Yoon M, Manini AF et al. Early phase in the development of cannabidiol as a treatment for addiction: opioid relapse takes initial center stage. Neurotherapeutics. 2015;12(4):807–815. doi: 10.1007/s13311-015-0373-7. [PMC free article] [PubMed] [CrossRef] [Google Scholar]

[14] Socías ME, Kerr T, Wood E et al. Intentional cannabis use to reduce crack cocaine use in a Canadian setting: a longitudinal analysis. Addict Behav. 2017;72:138–143. doi: 10.1016/j.addbeh.2017.04.006. [PMC free article] [PubMed] [CrossRef] [Google Scholar]

[15] Lucas, P., Baron, E.P. & Jikomes, N. Medical cannabis patterns of use and substitution for opioids & other pharmaceutical drugs, alcohol, tobacco, and illicit substances; results from a cross-sectional survey of authorized patients. Harm Reduct J 16, 9 (2019). https://doi.org/10.1186/s12954-019-0278-6https://harmreductionjournal.biomedcentral.com/.../s12954...

[15] Janice Mok, et al, Use of Cannabis for Harm Reduction Among People at High Risk for Overdose in Vancouver, Canada (2016–2018), American Journal of Public Health (AJPH) May 2021,https://ajph.aphapublications.org/.../AJPH.2021.306168...

[16] Janice Mok, et al., Use of Cannabis as a Harm Reduction Strategy Among People Who Use Drugs: A Cohort Study, Cannabis and Cannabinoid Research, Published Online 31 May 2022
https://doi.org/10.1089/can.2021.0229https://www.liebertpub.com/doi/10.1089/can.2021.0229


กำลังโหลดความคิดเห็น