เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว ภาพที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกันชัดเจนน่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย กับภูมิใจไทยมากกว่า พรรคพลังประชารัฐเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อมองจากเส้นทางที่เดินทับกันมันก็ต้องบอกว่า ใช่เลย โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการเมืองสำคัญ คือ ภาคอีสาน ที่ถือว่าทั้งสองพรรค คือเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ยึดเป็นฐานที่มั่นหลัก
เริ่มจากพรรคเพื่อไทย ที่ในทางการเมืองรับรู้กันมาตั้งนานแล้วว่า พื้นที่ในภาคอีสานเป็นหัวใจสำคัญถูกเปรียบเปรยไม่ต่างจาก “เมืองหลวง” และในรอบหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้รับชัยชนะ ได้ส.ส.เข้ามาแบบขาดลอย รวมไปถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562 ก็ชนะขาดเหมือนเดิม ซึ่งในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ก็ยังมั่นใจเช่นเดิม
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในวันนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากที่เคยคิดว่าเป็น “ของตาย” เคยส่งใครลงสมัครในนามพรรคก็เชื่อขนมกินได้ว่าไม่มีพลาด แต่จากการห่างหายจากศูนย์กลางอำนาจมาอย่างต่อเนื่องนับสิบปี มันก็เปิดทางให้อีกฝ่ายมีพัฒนาการ และปิดช่องโหว่ กลายเป็นการกระชับตีวงเข้ามาให้แคบลงเรื่อยๆ
สำหรับพรรคภูมิใจไทย ที่มีต้นกำหนดในพื้นที่ภาคอีสาน โดยเฉพาะการเริ่มต้นในเขต “อีสานใต้” แถบ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ถิ่นที่ตะระกูล “ชิดชอบ” วางรากฐานเอาไว้ และจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาขยายอาณาเขตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีโอกาสได้ควบคุมกระทรวงสำคัญ สามารถต่อยอดนโยบายได้หลายอย่าง ที่สำคัญ พวกเขายังมี “พลังดูด” ที่รุนแรงอีกด้วย
และแน่นอนว่า ยุทธวิธีในการดูด หากสังเกตจะเน้นเฉพาะตัวหลักในแบบที่เรียกว่า “บ้านใหญ่” ประจำจังหวัด ยกกันมาทั้งครอบครัว พร้อมกับคำรับประกันเก้าอี้สำคัญตามมาหากได้เป็นรัฐบาล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในกรณีจังหวัดศรีสะเกษ ที่กลุ่ม “แซ่จึง” เข้ามาแบบยกทีม และยังมีอีกหลายจังหวัดในลักษณะเดียวกัน ที่เป็นกลุ่ม ส.ส.เขต ที่เป็นเกรดเอ แต่ไม่เคยได้สัมผัสเก้าอี้รัฐมนตรีเมื่ออยู่กับพรรคเดิม โดยเฉพาะที่ศรีสะเกษ สร้างความไม่พอใจให้กับ “คนแดนไกล” เจ้าของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างมาก ถึงขนาดไปตั้งเวทีไล่ขยี้กันถึงถิ่นมาแล้ว เมื่อหลายเดือนก่อน
ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวที่ปรากฏชัดเจนในงานวันเกิดของ นายเนวิน ชิดชอบ หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคภูมิใจไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ประกาศกวาด ส.ส.120 ที่นั่ง รวมไปถึงได้เห็นความเคลื่อนไหวของบรรดา ส.ส.และนักการเมืองมากมายจากต่างพรรคที่เตรียมย้ายเข้าสังกัดหากโอกาสเปิด มันก็ยิ่งสะเทือนกับพรรคเพื่อไทยโดยตรง เพราะหากพรรคภูมิใจไทย ได้ ส.ส.ในภาคอีสานเพิ่ม มันก็จะทำให้เพื่อไทยลดลงทันที
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ล่าสุด พรรคเพื่อไทยได้ตั้งคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้งเพื่อรองรับการเลือกตั้ง โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่มีชื่อเป็นกรรมการศูนย์ดังกล่าว และยังเป็นหัวหน้าทีมปราศรัยของพรรคได้เปิดศึกกับภูมิใจไทยทันที เยาะเย้ย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่า ให้เตรียมตัวเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งความหมายจากคำพูดดังกล่าว ยังมองได้อีกว่าพรรคภูมิใจไทย น่าจะได้ ส.ส.ไม่น้อย เนื่องจากการเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้นั้น ก็ต้องมีเสียง ส.ส.จำนวนมาก
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็กล่าวตอบโต้ว่า “อีกไม่เกิน 6 เดือนก็รู้แล้ว” ถามว่ากรณีที่เขามาปรามาสเช่นนี้ รู้สึกอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า “ผมบอกแล้วไง ก็อาเหลิม”
เมื่อถามว่า มั่นใจว่า หลังเลือกตั้งครั้งพรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ใช่หรือไม่ นายอนุทิน พยักหน้าและหัวเราะ พร้อมกับกล่าวว่า ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย ขู่พรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และมีการท้าให้เปิดเวทีปราศรัยพร้อมกัน นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีส.ส.ในพื้นที่ศรีสะเกษ แต่ตนไม่อยากคุยเรื่องขัดแย้ง นักการเมืองต้องอยู่กับร่องกับรอย หากจะบริหารบ้านเมือง แต่สิ่งแรกที่จะทำคือ การทำความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แยกพวกกันชัดเจน มันเหมือนพูดอย่างคิดอย่าง ทำอย่างนั้นมันไม่ได้ ขณะนี้สิ่งที่ประชาชนต้องการคือ ความสงบสุขของบ้านเมือง ถ้าจะทำให้บ้านเมืองสงบ ต้องสามัคคีกัน ฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาลมันเป็นเพียงบทบาท ไม่ได้หมายความว่าต้องมาทะเลาะกัน ตีกัน หรือต่อสู้กัน สำหรับบทบาทในรัฐสภาและในบ้านเมืองอยู่ที่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ และหลังจากรู้ผลเลือกตั้งแล้ว ถึงจะกำหนดได้ว่าใครจะไปอยู่ที่ไหน
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่ระยะหลังพรรคเพื่อไทยจะเจาะจงมาที่พรรคภูมิใจไทยเป็นพิเศษ นายอนุทิน ยิ้มพร้อมย้อนถามว่า “แสดงว่าอะไรล่ะๆ” แต่เราปกติ ใครก็ตามที่พยายามจะมาทะเลาะกับเรา แต่พรรคภูมิใจไทย อยู่กับร่องกับรอยเสมอ เราไม่ได้เป็นศัตรู หรือขัดแย้งกับใคร
นั่นเป็นภาพการเคลื่อนไหวที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่า พรรคเพื่อไทยได้มองพรรคภูมิใจไทย เป็นคู่แข่งที่ต้องสกัดกั้นในสนามเลือกตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานที่ถือว่ามียุทธศาสตร์ทับซ้อนกัน และมีผลต่อการตั้งรัฐบาลในคราวหน้า
ขณะเดียวกัน หากมีการมองแบบ “จับคู่” กัน ก็ต้องบอกว่าด้วยเงื่อนไขและสถานการณ์ที่พาไปจุดที่ลงตัวมากกว่าใคร ก็คือ การจับมือกันระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับภูมิใจไทย เพราะถือว่านาทีนี้เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพราะภูมิใจไทย มียุทธศาสตร์ในภาคอีสาน และสามารถแบ่งพื้นที่กันได้ เพื่อสกัดกั้นฝ่ายตรงข้าม คือ เพื่อไทย
อีกทั้งเมื่อเชื่อมโยงไปถึงกลุ่ม “สาม ป.” ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นตัวหลัก และหากโฟกัสเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังเหลือวาระอีกประมาณ 2 ปี มันก็ทำให้เข้าเค้า ในแบบ “นายกฯ คนละครึ่ง” มันก็เป็นไปได้ เนื่องจากที่ผ่านมา พิจารณาจากความสัมพันธ์ในรัฐบาลก็ต้องถือว่า “ดีเยี่ยม” และยิ่งในช่วง “เว้นวรรค” เดือนเศษ นายอนุทิน ก็ได้เข้าพบหารือกับ “บิ๊กตู่” ที่กระทรวงกลาโหม บ่อยครั้ง
นอกเหนือจากนี้ หากมองให้ไกลไปอีก ถึงที่สุดแล้ว “บิ๊กตู่” ไม่ไปต่อ หรือไปต่อ (ด้วยเงื่อนไขหลังรู้ผลการเลือกตั้ง) ถึงตอนนั้น ก็อาจสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกฯคนใหม่ก็เป็นได้ โดยหากไปต่อมันก็น่าจะออกมาในลักษณะ “คนละครึ่ง” มันก็น่าคิดเหมือนกัน
อีกด้านหนึ่ง มันถึงได้ยินคำพูดยืนยันหนักแน่นจากปากของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปฏิเสธรายงานข่าว “เลือดไหลออก” ส.ส.ย้ายพรรคจำนวนมาก โดยย้ำว่า แค่ข่าวลือ “ไม่มี ไม่มีใครออกสักคน ไม่มีข่าว มีแต่ข่าวที่พวกคุณพูดไปเอง เหนียวแน่นอยู่แล้ว” พร้อมๆ กับข่าวที่ว่าพยายามรั้งกันอย่างเต็มที่ เรียกว่า “เปย์เบิ้ลไม่อั้น” อะไรประมาณนั้น และมีการยืนยันแน่นอนแล้วว่า “กลุ่มสามมิตร” ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ยังอยู่ไม่ไปไหน มันก็พออุ่นใจได้ระดับหนึ่ง
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและท่าทีดังกล่าวข้างต้น มันก็พอเห็นภาพการจับคู่แพ็กกันระหว่าง พรรคพลังประชารัฐ กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อสกัดกั้นพรรคเพื่อไทย เป้าหมายเพื่อกลับมาเป็นรัฐบาล ซึ่งไม่อาจมองข้ามสูตร “นายกฯคนละครึ่ง” ที่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ติดล็อกอยู่ในเวลานี้ !!