เหรัญญิก พปชร.เผย ที่ผ่านมา กยศ.ผ่อนปรนเงื่อนไขปรับลดดอกเบี้ย-ค่าปรับลงอย่างมาก เพื่อช่วยเหลือผู้กู้แล้ว จำเป็นหรือไม่ที่จะตัดให้เหลือศูนย์ และต้องกลับไปพึ่งงบประมาณรัฐอีกครั้ง เพราะมีค่าใช้จ่ายการบริหารกองทุนตกปี 2,000 ล้าน ชี้ ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.กยศ. ไม่ใช่ดอกเบี้ย-ค่าปรับ แต่อยู่ที่การสร้างจิตสำนึกให้อนาคตของชาติมีวินัย มีหนี้ต้องจ่าย
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ Facebook ส่วนตัวสะท้อนมุมมองถึงที่มาของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งเริ่มต้นก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2539 ด้วยงบประมาณ 3,000 ล้านบาท ดำเนินการในลักษณะเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อให้โอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์โดยไม่ได้แสวงหาผลกำไร ต่อมาปี พ.ศ. 2561 สามารถเป็นกองทุนหมุนเวียนที่ไม่ต้องพึ่งงบประมาณแผ่นดิน โดยกองทุนมีเงินหมุนเวียนจากการชำระคืนในปี พ.ศ. 2564 กว่า 32,100 ล้านบาท ที่ผ่านมา มีผู้กู้ยืมจนได้รับโอกาสทางการศึกษาไปแล้ว 6,284,005 ราย คิดเป็นเงินให้กู้ยืมกว่า 702,309 ล้านบาท โดยมีผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระหนี้จำนวน 3,559,421 ราย ผู้กู้ยืมที่ชำระหนี้เสร็จสิ้น ปิดบัญชีแล้ว 1,660,129 ราย
สำหรับผู้กู้ยืมที่มีปัญหาในการชำระหนี้กองทุนก็ได้ขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนหนี้ช่วยเหลือผู้กู้ยืมต่อเนื่องจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ดังนี้
- ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับจากเดิม 12%-18% เหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี
- ลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจาก 1% เหลือเพียง 0.01% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืนกองทุนและ ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้
- ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมที่ไม่เคยเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และต้องการปิดบัญชีในคราวเดียว
- ลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ยืมทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี
- ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ให้ผู้กู้ที่ยังไม่ถูกฟ้องคดี และมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการผ่อนชำระเงินคืน จากเดิมกำหนดผ่อนชำระเป็นรายปี ผ่อนไม่เกิน 15 ปี เป็นผ่อนชำระเป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันทุกเดือน ผ่อนไม่เกิน 30 ปี จะเห็นได้ว่าการช่วยผู้กู้ที่มีปัญหาในการชำระหนี้ ต้องเป็นแนวทางที่ตรงกับสาเหตุของปัญหา จึงจะแก้ปัญหาให้กับตัวบุคคลและตัวกองทุนได้ ในเมื่อทั้งเบี้ยปรับและดอกเบี้ยได้ถูกลดมาต่ำมากจนไม่ใช่สาเหตุของปัญหาแล้ว จำเป็นไหมที่จะต้องลดให้เหลือศูนย์
ทั้งนี้ กองทุนมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี มีรายรับจากเบี้ยปรับและดอกเบี้ยราว 6,000 ล้านบาทต่อปี ตรงนี้ที่ทำให้สามารถเป็นกองทุนหมุนเวียนโดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณแผ่นดิน ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนสูงไปไหมเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน เป็นอีกเรื่องที่ต้องพิจารณา หากเห็นว่าที่ผ่านมา รายรับส่วนนี้สูงไปกว่าค่าใช้จ่าย ก็ไปหาแนวทางลดลงให้คงเหลือเท่าที่จำเป็นสำหรับให้กองทุนพึ่งตัวเองได้
นอกเหนือจากประเด็นของการสนับสนุนให้ กยศ.ยังคงความเป็นกองทุนหมุนเวียนได้ โดยไม่ต้องพึ่งหางบประมาณแผ่นดิน หาก กยศ.ต้องกลับมาพึ่งงบประมาณแผ่นดินซึ่งก็คือภาษีจากประชาชน สิ่งที่เราทุกคนควรให้ความสำคัญ คือ การสร้างวินัยทางการเงินของนักศึกษาที่จะเป็นอนาคตของชาติต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่…) พ.ศ….ยังเหลือขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ที่คนส่วนมากยังสนใจตรงแค่ดอกเบี้ยและเบี้ยปรับจะเป็นเท่าไร ทั้งที่ประเด็นนี้ ยังไม่สำคัญเท่ากลไกการบริหารจัดการของกองทุน และสถาบันการศึกษา รวมถึงภาคประชาสังคมที่ต้องร่วมกันส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกให้อนาคตของชาติไทยว่า “มีหนี้ ต้องจ่าย ถ้าจ่ายไม่ได้ ผู้กู้และกองทุนต้องรู้ว่าเพราะอะไร และต้องหาทางแก้ไขร่วมกัน”