xs
xsm
sm
md
lg

สยบบิดเบือน! งัดเอกสาร เชิญไทยร่วมพระราชพิธีพระบรมศพ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 “ท่านใหม่” ขอบคุณ “ดร.นิว”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ เอกสารยืนยันอังกฤษเชิญไทยร่วมพระราชพิธีพระบรมศพ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 จากเฟวบุ๊ก Suphanat Aphinyan
สยบ “3 นิ้ว” บิดเบือน! “ดร.นิว” งัดเอกสาร อังกฤษเชิญไทยร่วม พระราชพิธีพระบรมศพ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 “ท่านใหม่” ขอบคุณที่ให้ความกระจ่าง “ก้าวไกล” อ้างไม่ปล่อยประเทศถอยหลัง “ปลุกคนหนุ่มสาวเปลี่ยนประเทศ”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 ก.ย. 65) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ระบุว่า

“เชิญหรือไม่เชิญก็เบิกตากว้างๆ ดูเอาเองเลยครับ

มีผู้เกี่ยวข้องท่านหนึ่งที่กรุงลอนดอน รู้สึกทนไม่ได้กับการที่พวกสามนิ้วออกมาปั่นกระแสบิดเบือน ให้ร้ายว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ไม่ได้รับเชิญให้มาร่วมพระราชพิธีพระบรมศพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2

จึงได้ส่งข้อความมาหลังไมค์บอกว่า ผมเขียนวิเคราะห์ได้ค่อนข้างถูกต้องและมีความใกล้เคียงมาก พร้อมทั้งได้แนบเอกสารตัวจริงหน้านี้มาให้ดูเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์อีกด้วย พวกสามนิ้วจะได้หยุดโกหกบิดเบือนให้ร้ายแบบมั่วๆ เสียที

ในความเป็นจริงนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาแห่งสหราชอาณาจักร หรือ Foreign, Commonwealth & Development Office (FCDO) ได้ส่งเอกสารเทียบเชิญไปยังสถานเอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

โดยจะมีการแบ่งกลุ่มประเทศตามระดับความสัมพันธ์และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นในอดีต หรือยังอยู่ภายใต้เครือจักรภพในปัจจุบัน ก็อาจเจาะจงให้ระดับประมุขหรือผู้นำสูงสุดมาเองเท่านั้น

สำหรับประเทศไทย ปรากฏว่า อยู่ในกลุ่มเดียวกับ บาห์เรน, ภูฏาน, กัมพูชา, ญี่ปุ่น, จอร์แดน, คูเวต, ลิกเตนสไตน์, ลักเซมเบิร์ก, โมนาโก, โมร็อกโก, นอร์เวย์, โอมาน, กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, สวีเดน, ไทย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การส่งเทียบเชิญของ สหราชอาณาจักรมายังประเทศในกลุ่มนี้ รวมถึงประเทศไทย มีลักษณะเป็นทางเลือก โดยทางประมุขแห่งรัฐที่เป็นพระมหากษัตริย์จะเสด็จฯ มาเอง หรือส่งเอกอัครราชทูตมาร่วมแทนก็ได้

เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไขของการเทียบเชิญในข้างต้น นับได้ว่า ประเทศไทยก็ได้ปฏิบัติตามกรอบของการเทียบเชิญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ไม่ได้เป็นปัญหากับทาง สหราชอาณาจักรแต่อย่างใด มีแต่พวกสามนิ้วเท่านั้นที่เป็นเดือดเป็นร้อน

ปัญหาจึงอยู่ที่พวกสามนิ้วเองต่างหาก ที่คอยจ้องหาแต่เรื่องโกหกบิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยไปเรื่อยเปื่อย ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสาระอะไรที่มากไปกว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยไปวันๆ เท่านั้นเอง.” (จากไทยโสต์)

ภาพ ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่ ขอบคุณ ดร.นิว ที่ช่วยให้ความกระจ่างกับสังคม
ขณะเดียวกัน ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่ นายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภ รักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย รักษาพระองค์ สนองพระเดชพระคุณเป็นราชองครักษ์พิเศษใน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โพสต์เฟซบุ๊กว่า

“เพื่อความกระจ่างแจ้ง และโปรดใช้วิจารณญาณ ในการอ่าน และเข้าใจในเหตุผล ที่ ดร.ศุภณัฐ ท่านเขียนขึ้นกันหน่อย อย่าไปเชื่อพวกนักวิชาการ และพวกใส่ร้ายป้ายสีประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้แต่ปั้นข่าวมั่วให้เข้าใจผิดๆ กัน “ว่าทำไม พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจน พระบรมวงศานุวงศ์ถึงไม่ได้รับเชิญ จากรัฐบาลของ สหราชอาณาจักรเสด็จฯ ไปเยือน สหราชอาณาจักร เพื่อร่วมงานพระราชพิธี พระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2” ?

ถ้าลองสังเกตดูดีๆ จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่า ประมุขหรือผู้นำสูงสุดของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ที่เดินทางไปเยือน สหราชอาณาจักร เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 “จะเป็นประเทศจำนวน (ส่วน) มากที่เคยตกเป็นเมืองขึ้นในอดีต หรือยังอยู่ภายใต้เครือจักรภพในปัจจุบัน” (หาดูได้มีประเทศ ไหนบ้าง ทาง Google)

การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ชาติต่างๆ ในยุโรปเกือบทั้งหมดได้เสด็จฯ ไปเยือนสหราชอาณาจักร เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นเพราะ “ล้วนแต่มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกันมาแต่เก่าก่อน เมื่อสืบสายไล่เรียงก็จะพบว่าทรงเป็นพระญาติของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทั้งสิ้น”

ส่วนการเชิญแขกอื่นๆ จากประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีงามทั่วไป ก็จะเป็นการเชิญตามมารยาทโดยผ่านสถานเอกอัครราชทูต ไม่ได้มีหนังสือเชิญโดยตรงมายังประมุขประเทศต่างๆ แต่อย่างใด ดังนั้น ประเทศส่วนใหญ่ในโลกก็จะส่งเอกอัครราชทูตไปเข้าร่วมโดยมารยาทตามปกติ สำหรับประเทศไทยเอง ก็จัดได้ว่าอยู่ในประเทศกลุ่มนี้

แถมในสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ยังมีสถานการณ์ทางการเมืองโลกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเป็นต้น ส่งผลให้สหราชอาณาจักร ไม่อนุญาตให้บางประเทศเดินทางเข้ามาถวายความเคารพพระบรมศพในการนี้ด้วย

อย่างไรก็ดี พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ส่งข้อความพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 พระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรพระองค์ใหม่ ในการที่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565

อีกทั้งพระบรมวงศานุวงศ์องค์สำคัญอย่างสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จเยือนสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อทรงลงพระนามาภิไธยถวายความอาลัยแด่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565

แม้แต่องค์พระประมุขแห่งนครรัฐวาติกันอย่างสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ก็ถือปฏิบัติในทำนองเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการส่งข้อความพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 อีกทั้งส่งตัวแทนของรัฐเข้าร่วมแทนพระองค์

สำหรับประเทศไทย ที่มีความสัมพันธ์อันดีอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของสหราชอาณาจักรในกาลก่อน อีกทั้งมีจุดยืนในการรักษาความเป็นกลางทางการเมืองโลกมาโดยตลอด การแสดงออกในระดับนี้ จึงจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป และเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หน่วยราชการในพระองค์ ทำพิธีถวายความอาลัยหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร บริเวณประตูมณีนพรัตน์ พระบรมมหาราชวัง เมื่อ 19 กันยายน 2565” (จากไทยโพสต์)

ภาพ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประกาศเปลี่ยนประเทศ ขอบคุณข้อมูล-ภาพจากเพจพรรคก้าวไกล – Move Forward Party
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจพรรคก้าวไกล - Move Forward Party นอกจากเปลี่ยนภาพปก เป็นภาพ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคแล้ว ยังระบุข้อความว่า... “เลือกตั้ง 2566 : เปลี่ยนรัฐบาลไม่พอ ต้องเปลี่ยนประเทศ อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของมัน”

พร้อมโพสต์ข้อความระบุว่า

“8 ปี ภายใต้ระบอบประยุทธ์ ประเทศไทยตกต่ำถึงก้นเหวในทุกด้าน การเมืองตกต่ำ ประชาชนตกยาก เศรษฐกิจตกขบวนหลายคนสิ้นหวัง มองไม่เห็นอนาคตของประเทศ

แต่เราปล่อยให้ประเทศไทยถอยหลังไปกว่านี้อีกไม่ได้ และขณะนี้ ความเปลี่ยนแปลง-ความก้าวหน้า ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ประชาชนและคนหนุ่มสาวตื่นตัวขึ้นครั้งใหญ่ การเมืองแบบใหม่ นักการเมืองแบบใหม่ ความคิดทางการเมืองแบบใหม่ กำลังเติบโตขึ้น

ความหวังยังมี ประเทศไทยที่ก้าวหน้าเกิดขึ้นได้ หากเราช่วยกันเติมความเปลี่ยนแปลง

การเลือกตั้งครั้งหน้า จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนขั้วรัฐบาล แต่คือการเปลี่ยนประเทศ

หนึ่งเสียงของทุกคน คือหนึ่งเสียงของความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความก้าวหน้า

อย่ารอการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของมัน”

แน่นอน, สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนในการเมืองไทยเวลานี้ ก็คือ การ “ต่อสู้ทางการเมือง” ที่พุ่งเป้าไปที่ “เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ”

โดยเฉพาะ กระแสที่ถูกปลุกจากกลุ่มการเมือง นักวิชาการ พรรคการเมืองบางพรรค ที่ใช้เยาวชน คนรุ่นใหม่ เป็นหัวหอกนอกสภา ขณะที่พรรคการเมืองบางพรรคต่อสู้ในสภา และได้แนวร่วมกองหนุนที่เป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ช่วยอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับสังคม

ทั้งหมดกลายเป็น “ขบวนการ” ที่สอดรับกัน และนับวันขยายผลไปสู่เยาวชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา อย่างมาก

และที่สำคัญ “เกมการต่อสู้” จึงหลีกไม่พ้น การด้อยค่า บิดเบือน และโจมตี ต่อเป้าหมายทาง “ยุทธศาสตร์” ซึ่งหัวขบวนผู้ปลุกปั่นจะเป็นคนสร้างเนื้อหา จากนั้นสาวกในขบวนการก็จะนำไปขยายผล ปลุกกระแสความเชื่อในหมู่เยาวชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เพื่อทำงาน “ความคิด” และดึงเข้าร่วมการต่อสู้ในทุกรูปแบบที่เป็น “กิจกรรม” ของขบวนการ

ทั้งหมดเกิดขึ้นแล้ว และ “ทุกภาคส่วน” ในประเทศไทยก็รู้หมดแล้ว ไม่ใช่ “อีแอบ” อีกต่อไป เพียงแต่การเมืองไทยยังไม่เลวร้ายถึงขั้น ทำร้ายคนไทยด้วยกันเองเท่านั้น นี่คือข้อดีที่หลายคนเชื่อว่า “ความเห็นต่าง” อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ขัดแย้งแตกแยก ทุกอย่างจะคลี่คลายได้ในที่สุด!?


กำลังโหลดความคิดเห็น