ไม่ยอม! “ติ่งชัชชาติ” โต้ ปมลางาน 4 วัน ยกกรณี “น้องประยุทธ์” ขาดประชุม 394 วัน “สลิ่ม” เงียบ “อดีตบิ๊ก ศรภ.” เฉลย เหตุไม่เชิญ “ชัชชาติ” ร่วมเปิดท่าเรือกับ “ลุงตู่” เพจดัง #Saveจส100 สร้างประโยชน์ให้สังคมมากมาย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (10 มิ.ย. 65) จากกรณี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ลางาน 4 วัน เพื่อไปร่วมงานรับปริญญาบุตรชาย ที่สหรัฐอเมริกา จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งที่เพิ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และทำงานได้เพียง 8 วันเท่านั้น
ล่าสุด ชาวเน็ตกลุ่มที่สนับสนุนนายชัชชาติ ได้หยิบยกกรณี “บิ๊กติ๊ก” พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาโต้กลับทันที ว่า “ลาไปงานรับปริญญา ลูกชายที่ USA 4 วัน สลิ่มด่ายับ แต่ขาดประชุม 394 วันจาก 400 วัน สลิ่มเงียบ”
สำหรับ “บิ๊กติ๊ก” พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา ครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) ขาดประชุม สนช. 394 วัน จาก 400 วัน จนถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง (จากไทยโพสต์)
ขณะเดียวกัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ระบุว่า
“เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ กรุงเทพฯ บ่อยขึ้น ฝ่ายสนับสนุน คุณ ชช. ก็รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีกันหลายคน
ผมจึงขออธิบายถึงสาเหตุที่ ลุงตู่ ต้องมาเปิดท่าเรือหน่อยครับ
มาถึงปัจจุบันนี้ ควรจะเข้าใจก่อนว่า รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลทุกจังหวัดในประเทศไทย ไม่ใช่ดูแลเฉพาะจังหวัดท่ีเลือกพรรคท่ีเป็นรัฐบาลมาเท่านั้น เหมือนกับที่ผู้นำรัฐบาลบางคนเคยพูดในอดีต
“กรุงเทพฯ” เป็นจังหวัดที่ทำรายได้ให้ประเทศไทยมากที่สุด
จึงเป็นจังหวัดท่ี ต้องสวยงาม ควบคู่ไปกับ การรักษา “ความมั่นคง” ให้ได้มากที่สุดเช่นกัน
โดยเฉพาะในยุคที่มีความพยายามสร้างความขัดแย้งในสังคมขึ้น ทั้งจาก ปัจจัยภายใน และ ภายนอกประเทศ
ทุกวันนี้ รัฐบาลลุงตู่ จึงต้องทุ่มเทกับหน่วยงานข่าวกรอง
ทำงานต่อต้านการบ่อนทำลาย และ การก่อการร้าย ควบคู่กันไป
ปกป้องกรุงเทพฯไว้อย่างสุดหัวใจ เพราะเคยมีบทเรียนมา
ตั้งแต่เกิดการลอบวางระเบิดงานปีใหม่ ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เมื่อสิ้นปี 2549 ที่ลานหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ วางไว้รอบงานถึง 5 จุด โดยหวังให้มีคนวิ่งหนีระเบิดจนทับกันตายนับพันคน
เพราะจะมีผู้เข้าร่วมงานหลายหมื่นคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้สั่งให้ยุติการจัดงานลงทันทีเมื่อเวลา 2 ทุ่ม (ระเบิดตั้งเวลาให้ระเบิดไว้พร้อมกัน 5 จุด ตอนเที่ยงคืน) ต่อด้วยเหตุการณ์ เมื่อปี 2552-2553 ท่ีมีคนชุดดำ และ ทหารต่างชาติชุดหนึ่งเข้ามาฝึกใน กทม.แต่ไม่ยอมกลับ ออกมาก่อกวน และยังมีอีกหลายสิบเรื่องท่ีรัฐบาลไม่ได้เปิดเผยออกมา
ดังนั้น งานของรัฐบาลใน กทม. จึงไม่ใช่แค่งาน แต่เป็น “ภารกิจ” ที่สำคัญ
การติดตั้งเครื่องมือเทคนิคในการรักษาความปลอดภัยตามสถานท่ีพัฒนาปรับปรุงหลายแห่งของรัฐบาลนี้ จึงถูกนำมาผนวกเข้ากันเข้า ทั้งความสวยงาม และเพื่อประโยชน์ด้านงานความมั่นคง ควบคู่กันไปด้วย เช่น ประเทศท่ีเจริญแล้วทุกประเทศ
เค้าทำกันมานานแล้ว (ที่จีน และ สิงคโปร์) ใครเข้าประเทศไปไหนเค้ารู้หมด
ที่ดูไบ ใครทำสิ่งของหล่น จะไม่มีใครเข้ามาหยิบไป เพราะอยู่ตรงไหน จนท.ก็เห็นหมด ดีกว่าอังกฤษ ซึ่งมุ่งไปที่ “คน” เท่านั้น)
การลงไปวางแผนสร้างท่าเรือให้ทันสมัยขึ้น ในพื้นที่ กทม. 6 แห่ง จึงเป็นงานของ กทม.ด้วย เพราะแม้จะไม่ได้สร้างเอง แต่ก็ต้องเข้ามาดูแลต่อไป
การก่อสร้างสิ่งต่างเหล่านี้ นอกจากเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายของประชาชนโดยส่วนรวมแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง ซึ่งต่อไป คุณ ชช. คงจะรู้ได้เองละครับ ตอนนี้ยังใหม่อยู่
และก็ยังมีงานแบบนี้อีกหลายสิบแห่งท่ี่เกินขีดความสามารถ และหน้าที่ของ กทม. แต่กำลังจะเสร็จในปีสองปีนี้
แค่นี้ คุณ ชช. ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ดังนั้น อย่าไปกวนให้แกมาร่วมงานด้วยเลยครับ เพราะ รมว.มท ซึ่งเป็นเจ้านายโดยตรงของ ผู้ว่าฯ กทม.ก็มาแทนอยู่แล้ว” (จากสยามรัฐออนไลน์)
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ข้อความระบุว่า “#Saveจส100”
พร้อมแชร์ เพจดัง “สติค่ะลูกกกก” ที่ระบุว่า
“#saveจส100 สำหรับความเป็นมาของสถานีวิทยุจราจรที่ใช้ชื่อว่า “สถานีวิทยุ จส.100 วิทยุข่าวสารและการจราจร”
ได้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2534
มีหน้าที่แจ้งข่าวและรายงานสภาพทางจราจร รวมถึงการติดต่อเข้าไปเพื่อขอความช่วยเหลือกรณีเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินบนท้องถนน (เช่น น้ำมันหมด, แบตเตอรี่ไม่มีไฟ, รถเสีย) เป็นสื่อกลางระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน รวมไปถึงงานบริการสังคมทำให้ สถานีวิทยุ จส.100 เป็นสถานีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ผู้ฟัง โดยเฉพาะผู้ใช้รถใช้ถนน
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ และมีส่วนร่วมในสังคมและในปี 2554 จส.100 ได้รับรางวัลหน่วยงานดีเด่นของชาติประจำปี 2554 สาขาพัฒนาสังคม
ปัจจุบัน จส.100 ถูกรุมวิพากษ์วิจารณ์จากคนบางกลุ่มเพียงเพราะรายงานสภาพการจราจรรถติดใน กทม. ตามปกติที่เคยทำมาทุกยุคสมัย
#เป็นกำลังใจให้คนทำงานเพื่อสังคม
#สติค่ะลูกกกก”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การโหนกระแส “ชัชชาติฟีเวอร์” ของคนบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการใช้เป็นเครื่องมือตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม โดยอาศัยคำว่า “ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย” และการปกป้องอย่างขาดสติ คือ ไม่ยอมรับความเป็นเหตุเป็นผลที่มีคนวิจารณ์ หรือแม้แต่พูดถึงปัญหาใน กทม. ก็ออกมาปกป้อง และพร้อมจะฟาดฟันกับทุกคน
สุดท้าย สิ่งที่เห็นได้ชัด ก็แค่การ “เล่นเกมการเมือง” ของ “สองขั้ว” ขัดแย้งเดิมๆ ที่บางฝ่ายมี “ฮีโร่” คนใหม่ ไว้คอยปะทะกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
จึงน่าเสียดายพลังแห่งชัยชนะของ “ชัชชาติ” ที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างสร้างสรรค์มากกว่านี้ แต่กลับเอามาจมอยู่กับความขัดแย้งแตกแยกในสังคม จนกลายเป็นแค่เครื่องมือทางการเมือง?
ทำไมไม่คิดว่า “ชัชชาติ” ได้คะแนนถล่มทลาย เพราะความเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และยังคงจงรักภักดีต่อสถาบันฯอย่างไม่เสื่อมคลาย
ทำไมไม่คิดว่า นี่คือ ชัยชนะของประชาธิปไตยสายกลาง ที่ไม่สุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง คนไทยส่วนใหญ่ลองคิดดูก็แล้วกัน