โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ชี้แจงเพื่อความเข้าใจการจัดงบตำรวจ ทหาร งบความมั่นคง ทำตามความจำเป็น กำหนดทั้งสิ้นเพื่อ ปชช.และความปลอดภัยประเทศ ยันให้ความสำคัญทุกวัยรวมทั้งผู้ด้อยโอกาสพร้อมแจงด้วยข้อมูล ย้ำห่วงทุกคน
วันนี้ (2 มิ.ย.) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า เวลา 13.32 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยนายกรัฐมนตรีได้รับฟังและติดตามคำอภิปรายมาตลอด ขอชี้แจงเรื่องแรก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กล่าวว่างานสอบสวน ตำรวจไม่อยากทำงาน เพราะงบประมาณไม่เพียงพอ และไม่มีความก้าวหน้าในชีวิตราชการ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า ในปัจจุบันพนักงานสอบสวนได้รับเงินค่าตอบแทนวิชาชีพเป็นเงินประจำตำแหน่ง ตั้งแต่ระดับรองสารวัตร จนถึงระดับรองผู้บังคับการตำรวจแห่งชาติ ได้จัดสรรเงินค่าตอบแทนสำนวนสอบสวน รวมเป็นงบประมาณเพิ่มขึ้น 400 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นค่าทำสำนวนการสอบสวน ค่าตอบแทนพยาน ค่าส่งหมายเรียก ค่าชันสูตรพลิกศพ ค่าตอบแทนนักสังคมสงเคราะห์ ค่าคุ้มครองพยาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการทำสำนวนคดี เช่น ซื้อกระดาษ วัสดุ คอมพิวเตอร์ ค่าเดินทางไปราชการ น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น และในห้วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดสรรเงิน เพิ่มเติมอีก 50-150 ล้าน รวมเป็นเงินทั้งสินเกือบ 600 ล้านบาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน
ส่วนความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ ปัจจุบันพนักงานสอบสวนถือเป็นสายงานสำคัญ ก.ตร. ได้แก้ไขให้การเข้าดำรงตำแหน่ง หัวหน้าสถานีตำรวจในทุกระดับ ข้าราชการตำรวจต้องมีประสบการณ์ด้านการดำรงตำแหน่งพนักงานสอบสวนมาก่อน ทั้งในระดับรองสารวัตร สารวัตร รองผู้บังคับการด้านสอบสวน ซึ่งทำให้ตำรวจทุกนายต้องหันมารับตำแหน่งพนักงานสอบสวน มิฉะนั้นจะไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจได้ นอกจากนี้ กำลังบรรจุพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมอีกรวม 1,700 นาย ทำให้ปัจจุบันเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 13,000 นาย อีกทั้งจะได้บรรจุผู้ช่วยพนักงานสอบสวนชั้นประทวน 3,500 นาย ช่วยเหลือพนักงานสอบสวนในการปฏิบัติหน้าที่ และระยะต่อไปจะเพิ่ม จำนวนผู้ช่วยพนักงานสอบสวนให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น 3-4 นาย/พนักงานสอบสวน 1 นาย เพื่อแบ่งเบาภาระพนักงานสอบสวนที่ทำหน้าที่อย่างหนักจากคดีที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
กรณีตำรวจตะเวนชายแดน ชี้แจงว่า ภารกิจหลัก คือ การลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนทั่วประเทศเพื่อเฝ้าตรวจป้องกันชายแดนร่วมกับกำลังทหาร เพื่อไม่ให้มีการรุกล้ำอธิปไตยตามแนวชายแดน รักษาประโยชน์ของชาติ ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตและช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายแดน โดยคิดเป็นระยะทางตามแนวชายแดนทั่วประเทศ จำนวน 5,656 กิโลเมตร ในส่วนของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ปัจจุบันมีจำนวนรวม 222 โรงเรียน ซึ่งมีโรงเรียนที่ได้มอบโอนให้กับกระทรวงศึกษาธิการไปแล้ว จำนวน 490 โรงเรียน โดยการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันได้ดำเนินการตามมาตรฐานของกระทรวงศึกษาธิการ และยังคงให้บริการทางการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกลเส้นทางคมนาคม ทั้งนี้ โรงเรียนในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการหลายแห่งมีจำนวนนักเรียนน้อย ไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ ตำรวจตระเวนชานแดนจึงจำเป็นที่ต้องเข้าไปจัดตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน หรือ ศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเปิดทำการสอนไปก่อน จนกว่าจะมีความพร้อมเพียงพอก็ได้มอบโอนให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนยังให้บริการทางการแพทย์เบื้องต้นให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนในถิ่นทุรกันดาร ในเขตบริการโรงเรียนและห้องพยาบาลของโรงเรียน ซึ่งจนถึงปัจจุบันได้มีโรงเรียนดังกล่าวสามารถยกระดับขึ้นเป็น สุขศาลาพระราชทาน จำนวน 22 แห่ง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน ดังนั้น ตำรวจตระเวนชายแดนยังคงเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนต่อไป
นอกจากนี้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนยังมีภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงชายแดน การปราบปรามอาชญากรรม การพัฒนาช่วยเหลือประชาชน ซึ่งครอบคลุม 31 จังหวัดชายแดน คิดเป็นพื้นที่ 5,661 ตารางกิโลเมตร วงเงินตามกรอบวงบประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในกรอบงบประมาณ จึงขอให้คิดถึงหัวอกคนทำงานที่อยู่ตามแนวชายแดนบ้าง ซึ่งต่างการมีครอบครัวมีชีวิตจิตใจ
เรื่องที่สาม เหตุใดโครงการปฏิรูประบบงานตำรวจจึงมีงบประมาณเกี่ยวข้องกับสิ่งก่อสร้างจำนวนมาก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการปฏิรูประบบงานตำรวจนั้น เกี่ยวกับกิจกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ด้านสวัสดิการที่พักอาศัยก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบงานตำรวจ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง โครงการนี้เป็นโครงการจำนวน 3,781 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้าง 2,668 ล้านบาท คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเป็นการจัดสวัสดิการในด้านที่พักอาศัยให้แก่ราชการตำรวจชั้นผู้น้อยให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพสร้างขวัญกำลังใจ โดยคำนึงถึงรูปแบบของที่พักอาศัยขนาดและทำเลที่ตั้งให้เหมาะสม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตำรวจให้มีมีขวัญและกำลังใจ มีความสุขในการปฏิบัติงาน ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการปฏิบัติงาน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีภารกิจด้านการป้องกัน ปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบเรียบร้อยภายในพื้นที่ รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน จึงต้องมีที่พักที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหาร จำเป็นจะต้องสามารถระดมกำลังเจ้าหน้าที่ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่และภารกิจต่างๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารกจึงมีความจำเป็นจะต้องมีสถานที่พักที่อยู่ใกล้กับสถานที่ทำงาน เพื่อให้สามารถเรียกระดมกำลังไปได้ทันที ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ของตำรวจแห่งชาติยังมีอาคารที่พักอาศัยไม่เพียงพอกับจำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่ในปัจจุบัน โดยมีความต้องการที่พักอาศัยทั้งสิ้นถึง 70% ของกำลังพล แต่ปัจจุบันจัดได้เพียง 50% ยังขาดแคลนอยู่ถึง 20% คิดเป็นประมาณ 4 หมื่นยูนิต ทั้งนี้ จะค่อยๆ ดำเนินการไป ดังนั้น เรื่องความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญ ที่อาจจะลืมไปว่าทุกวันนี้ที่บ้านเมืองทั้งชายแดน และความสงบสุขภายในประเทศ ต้องใช้กำลังคนเหล่านี้เข้ามาทำงานร่วมกับฝ่ายรวมกับฝ่ายพลเรือนทั้งสิ้น เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ และทหาร ซึ่งมีการทำงานร่วมกันในหลายๆ ภารกิจ ซึ่งก็ได้กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญที่ให้ทหารและตำรวจต้องร่วมพัฒนาประเทศ บรรเทาภัยพิบัติ ปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนไปด้วย พร้อมกับทำหน้าที่ในการป้องกันประเทศ และการปราบปรามอาชญากรรม
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ ได้ชี้แจงในส่วนของการเปรียบเทียบงบประมาณเพื่อสวัสดิการสังคม มีสมาชิกกล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับความมั่นคงเกินไป และไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นของประชาชน ถ้าดูในรายละเอียดแล้วจะเห็นว่า รัฐบาลมีหลายโครงการที่เป็นพันธกิจโดยตรงของทุกหน่วยงาน และมีงบในการบูรณาการ และหากมีความจำเป็นก็สามารถใช้งบกลางไปเพิ่มเติมได้ หรือแม้แต่งบประมาณที่ผ่านวาระที่ 1 ในวันนี้แล้ว ก็สามารถไปแปลญัตติเข้าไปในขั้นกรรมาธิการเพื่อแปลญัตติ และงบประมาณที่ถูกตีตกทั้งหมดจะกลับมาที่รัฐบาลตามกฎหมาย พ.ร.บ. งบประมาณ ดังนั้น รัฐบาลก็จะพิจารณาที่มีการขอมา ส่วนที่ยังคงขาด ซึ่ง ครม. จะเป็นผู้อนุมัติ
ในส่วนงบประมาณปี 2566 รัฐบาลให้ความสำคัญกับเด็กในวัยเรียน ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล โดยหากพิจารณาในรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณเพื่อสวัสดิการต่างๆ ในงบประมาณปี 2557 มีจำนวนทั้งสิ้น 449,579.5588 ล้านบาท แต่หากพิจารณาข้อเสนอในงบประมาณปี 2566 จะเห็นว่ามีงบประมาณสูงขึ้นถึง 632,582.000 ล้านบาท ซึ่งจากปีงบประมาณ 2557 ถึงปัจจุบัน มีงบประมาณเพิ่มขึ้น 183,002.4412 ล้านบาท โดยจำแนกดังนี้
1. กลุ่มเด็กเล็ก รัฐบาลให้ความสำคัญกับเด็กแรกเกิด จัดสรรงบประมาณสนับสนุนเบี้ยเด็กแรกเกิด (0-6 ปี) ตั้งแต่ 2559 เป็นต้นมา สนับสนุนให้เดือนละ 600 บาท สำหรับครัวเรือนที่บิดามารดามีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 16,321 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 2.58 ล้านคน
2. กลุ่มเด็กวัยเรียน รัฐบาลได้จัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี ตั้งแต่อนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 79,151 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 10.77 ล้านคน รัฐบาลจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจนและยากจนพิเศษให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 6,073 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 2.62 ล้านคน
3. กลุ่มผู้สูงอายุ รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้นจากการที่ประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยมีการสนับสนุนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุช่วง 60-69 ปี จำนวน 600 บาท/คน/เดือน ช่วง 70-79 ปี จำนวน 700 บาท/คน/เดือน ช่วง 80-89 ปี จำนวน 800 บาท/คน/เดือน และช่วง 90 ปีขึ้นไป จำนวน 1,000 บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 87,580 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 11.03 ล้านคน ซึ่งสูงกว่างบประมาณปี 2557 ถึง 26,580.2 ล้านบาท ตลอดจนการเพิ่มเป้าหมายในการปรับปรุง ซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุ ให้มีความเหมาะสมและปลอดภัย โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 225 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 10,000 หลัง
4. กลุ่มผู้ด้อยโอกาส รับบาลได้ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านมาตรการลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดค่าก๊าซหุงต้มผ่านบัตรสวัสดิการ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 35,515 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 13.45 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย บ้านพอเพียงในชนบท โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 563 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 25,000 ครัวเรือน ปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพื่อแก้ปัญหาชุมชนแออัด บ้านมั่นคง ตั้งงบประมาณไว้ 337 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 3,750 ครัวเรือน สำหรับกลุ่มผู้พิการ ตั้งแต่ปี 2563 รับบาลได้เพิ่มเบี้ยยังชีพความพิการ จาก 800 บาท/คน/เดือน เป็น 1,000 บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 20,339 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 2.09 ล้านคน
5. กลุ่มสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล รัฐบาลให้ความสำคัญกับระบบประกันสังคม โดยเฉพาะลูกจ้างแรงงานให้เข้าถึงระบบประกันสังคม โดยได้เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีทุพพลภาพ ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากเดิมไม่เกินร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 70 ของค่าจ้าง เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ให้ได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรร้อยละ 50 ของค่าจ้าง จาก 90 วัน เป็น 98 วัน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 48,514 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 23.34 ล้านคน ซึ่งในปี 2557 มีเพียง 12.31 ล้านคน รวมถึงได้ดูแลอสม. หมอประจำบ้าน สำหรับสนุนค่าป่วยการ การดูแลศักยภาพ ให้ดูแลสุขภาพตนเองและชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยได้ปรับเงินค่าตอบแทนจาก 800 บาท/คน/เดือน เป็น 1,000 บาท/คน/เดือน โดยงบประมาณปี 2566 ตั้งไว้ 12,614 ล้านบาท มีเป้าหมายจำนวน 1.05 ล้านคน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าภายใต้งบประมาณที่จำกัด รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะดูแลประชาชนตามช่วงวัย รวมถึงกลุ่มผู้ด้อยโอกาส เพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงสวัสดิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวัสดิการสังคมและจะต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน หากบูรณาการการทำงานได้ก็จักร่วมกันทำงาน ทั้งสนับสนุนภารกิจทั้งหมด เพราะนายกฯ ห่วงใยประชาชนทุกคน
ในเรื่องความมั่นคง กห. ต้องการใช้งบประมาณจำกัด เพื่อเกิดความพร้อมรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่มีใครรับประกันสถานการณ์ในอนาคตได้ ตอนนี้อาเซียนยังเข้มแข็ง แต่อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ต่างเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา งบประมาณที่วางไว้จึงกำหนดตามความจำเป็น แต่ขอความเห็นใจว่า งบประมาณต้องกำหนดล่วงหน้า เช่นเดียวกับการดำเนินการจัดการซื้ออาวุธ ต้องมีการฝึกการใช้อาวุธ ต้องใช้เวลาในการจัดซื้อพอสมควร ขอความเข้าใจว่าเราจำเป็นต้องซื้อเพื่อต่อระยะสายตา เพราะไม่สามารถซื้อแบบกะทันหันได้ หากติดตามดูจะเข้าใจ ว่า ประเทศไทยไม่ได้รับความช่วยเหลือมาระยะหนึ่งแล้ว เราต้องพึ่งการป้องกันตัวเอง ซื้อเท่าที่จำเป็น ในส่วนของการทุจริต มีผลประโยชน์ พร้อมมีการตรวจสอบ เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ชี้แจงได้ พร้อมได้รับการตรวจสอบ ขอให้ทำความเข้าใจการปฏิบัติ โดยนายกฯ พร้อมทำความเข้าใจ ไม่ได้โทษใคร ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ก็ทำงานในการให้ความปลอดภัยทุกคน ขออย่าทำลายขวัญและกำลังใจเจ้าหน้าที่เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง