นายกฯ เผย ยกระดับสัมพันธ์ญี่ปุ่น เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน เพื่อฟื้น ศก.สังคม พร้อมเจรจาชาติอื่นกระชับสัมพันธ์ได้ผลดี และมุ่งช่วย ปชช.เรื่องอ้อย เคาะ 12 ส.ค.วันผ้าไทยฯ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพันปีหลวง
วันนี้ (30 พ.ค.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้ทีมโฆษกประจำสำนักนายกฯ ส่งลิงก์เนื้อหาการแสดงความเห็นของนายกฯ แทนการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว มีข้อความดังต่อไปนี้ เรียนพี่น้องสื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนทุกท่านครับ วันนี้เป็นวันประชุม ครม. หลังจากที่ผมเพิ่งกลับมาจากการเข้าร่วมประชุมที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนะครับ ซึ่งผมได้มีโอกาสหารือระดับทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และผู้ว่าการธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น และประธานสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น ทำให้เกิดการต่อยอดความร่วมมือกันในหลากหลายมิติ โดยได้ยกระดับความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น เป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะความเจริญอย่างยั่งยืน และการใช้พลังงานสะอาด ตามแนวทาง BCG ทั้งรถยนต์ EV เคมีภัณฑ์ การแพทย์และการเกษตรอัจฉริยะ Smart Farmer และทุกมิติ โดยทั้งหมดนี้ จะขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลังในปีนี้ที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค ซึ่งไทยจะเป็นศูนย์กลางที่เข้มแข็งของอาเซียน โดยมีพื้นที่ EEC เป็นฐานสำคัญในการลงทุนต่างๆ โดยผู้บริหาร กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น จะได้มาเยือนไทยเพื่อเริ่มต้นกลไกการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมในเร็วๆ นี้ นะครับ
ซึ่งนอกจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐบาลยังเจรจาฟื้นฟูและกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ เพื่อเปิดตลาดการส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว และความร่วมมือต่างๆ ตลอดเวลา เช่น การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ที่เกิดผลอย่างดียิ่ง มีการเริ่มเปิดเส้นทางสายการบิน เกิดข้อตกลงเรื่องการส่งแรงงานไทยไปทำงาน และเราได้ส่งออกไก่แปรรูปไปซาอุดีอาระเบียได้เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี ซึ่งภายในปีนี้ จะส่งออกได้ 6 พันตัน เกิดมูลค่าการค้า 500 ล้านบาท หรือประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผมเพิ่งกลับมา ก็ได้มีการเจรจาข้อตกลงต่างๆ เกิดความร่วมมือที่จะเปิดทางให้กับการค้าการลงทุนที่กลุ่มนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐฯมีกำหนดจะเข้ามาเยือนและเจรจาข้อตกลงการลงทุนในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้รื้อฟื้นและยกระดับกรอบข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน ระหว่างสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิก กับประเทศไทย (PCA) เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความมั่นคงทางไซเบอร์ สาธารณสุข และการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการร่วม Joint Committee ระหว่างไทยกับ EU เพื่อติดตามความก้าวหน้าของความร่วมมือนี้
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีแห่ง สปป.ลาว มีกำหนดการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในสัปดาห์นี้ เพื่อนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์ ไทย-สปป.ลาว เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในทุกมิติเช่นกัน โดยเฉพาะความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการคมนาคมแบบไร้รอยต่อ การร่วมพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ชายแดน ความร่วมมือด้านพลังงานและการจัดการสิ่งแวดล้อม และด้านสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย
นอกจากเรื่องการต่างประเทศแล้ว ในการประชุม ครม. วันนี้ มีหลายประเด็นที่รัฐบาลเร่งหาทางแก้ไขช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด เช่น วันนี้ ครม.ได้เห็นชอบโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ผ่านทาง ธ.ก.ส. ที่สนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย ในปี 2565-2567 รวม 3 ปี วงเงินปีละ 2,000 บาท รวม 6,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะรับชดเชยดอกเบี้ยให้ตามเงื่อนไข ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องที่ได้ขยายเป็นระยะที่ 3 โดยจะได้มีการนำข้อมูลแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri - Map) มาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
และนอกจากนั้น ครม. ยังได้เห็นชอบการปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล เรื่องการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ตามบริบทสถาพแวดล้อมของชาวไร่อ้อยที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อเอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยทุกกลุ่ม
อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญสำหรับการประชุมวันนี้นะครับ นั่นคือ ครม.มีมติเห็นชอบข้อเสนอจากกระทรวงวัฒนธรรม ในการกำหนดให้วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี เป็น “วันผ้าไทยแห่งชาติ” National Thai Textile Day เพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 อย่างที่พวกเราทุกคนได้ทราบดี ว่าพระองค์ทรงมีพระวิริยอุตสาหะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ในการส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” เป็นที่ประจักษ์มายาวนาน จากสิ่งทอท้องถิ่นที่สูญหายไปให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ได้ทรงส่งเสริมการทอผ้าพื้นถิ่นของไทย ทุกประเภทและในทุกจังหวัด ทรงแนะนำเพื่อพัฒนาคุณภาพและฝีมือของชาวบ้านเพื่อให้มีรายได้เสริม
นอกจากนี้ ยังทรงรับซื้อผ้าทอพื้นถิ่นเพื่อนำมาสนับสนุน ให้นักออกแบบเครื่องแต่งกายไทยออกแบบสร้างสรรค์ เป็นชุดแต่งกายไทย ทรงสนับสนุนให้เพิ่มเติมคุณค่าด้วยการปักด้วยเส้นไหมหรือวัสดุสวยงามต่าง ๆ หรือให้ออกแบบ ผ้าทอพื้นถิ่นของไทยให้เป็นชุดแต่งกายตามสมัยนิยมสำหรับใช้ในโอกาสต่างๆ ที่หลากหลาย อีกทั้งทรงส่งเสริมศิลปะ
ด้านการออกแบบเครื่องอาภรณ์ประดับควบคู่ไปกับ การส่งเสริมชุดแต่งกายไทยทั้งในโอกาสประเพณีนิยม และตามแฟชั่นสมัยใหม่ด้วย จนสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ นำไปสู่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่ต่อไป
ดังนั้น ครม. จึงมีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี เป็น “วันผ้าไทยแห่งชาติ” เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเป็นสิ่งที่ปวงชนชาวไทยทุกคนภาคภูมิใจอย่างสูงสุดกับผ้าไทย ที่เป็นวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของชาติไทย ที่มีชื่อเสียงระดับโลกครับ โดยหลังจากนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้นำความกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตต่อไป