หยุดเคยชินปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ! “พุทธะอิสระ” จวก “พระอุปัชฌาย์-เจ้าคณะปกครอง” อุ้ม “กาโตะ” ปล้นศรัทธาชาวบ้านเปย์สาว “นิพิฏฐ์” เห็นด้วย “ลาสิกขา” ขอสึกแล้วใช้ชีวิตช่วงแรกอย่าให้ชาวบ้านเสียดายข้าวแดงแกงร้อน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (1 พ.ค. 65) นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ “พุทธะอิสระ” อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งทำให้สังคมเขาเหยียดหยาม ดูถูกว่าสงฆ์ปกครองว่าไม่เที่ยงธรรม
พระสงฆ์ องค์เณร สมัยนี้เขาหลงลืมคำว่า พระธรรมวินัยไปเสียแล้ว
ข่าวคลิปสาวไส้อันฉาวโฉ่ ที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับนักเทศน์หนุ่มชื่อดังที่ปรากฏตามสื่อทุกช่อง จนเป็นที่ฮือฮากันไปทั่วสังคม
บรรดาแฟนคลับโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ถือหางอยู่ ก็ออกมาปกป้องว่า ถูกกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย มีขบวนการอิจฉาคอยบ่อนทำลาย
แต่พวกที่ไม่ใช่แฟนคลับก็ให้สงสัยว่า อะไรๆ มันดูจะเหมือนกันเสียขนาดนั้น ทั้งลีลาการพูดจา ทั้งน้ำเสียง แถมมีหลักฐานสลิปโอนเงินให้สาวเจ้าไปหลายหมื่น ทั้งที่ปากของนักเทศน์ก็ปฏิเสธว่า ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า
พอชาวบ้านเข้าไปค้นรูปเก่ามาแฉ แกก็แถไปว่า เขาแค่มาทำบุญด้วยเฉยๆ
อ้าว…ลิ้นไม่มีกระดูก มันก็อย่างงี้แหละ จะมาเอาอะไรกับอาตมา
ดูท่าลีลาแบบนี้มันจะคล้ายๆ กับอดีตนักเทศน์ชื่อดังที่รีบสึกไปก่อนหน้านี้
กิริยาพูดจาพลิกไปพลิกมาแบบนี้ ภาษาพระท่านเรียกว่า ทุมมังกุ คนผู้เก้อยาก พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ หน้าด้านนั้นเอง
และไอ้ที่แปลกใจยิ่งนัก ก็คือ ไหนว่าธรรมยุต เขาไม่จับเงินไง แล้วพี่หลวงไปเอาเงินที่ไหนโอนให้สีกาทีละหลายๆ หมื่น
หากไม่ได้เป็นญาติ ไม่เคยมีบุญคุณอุปถัมภ์ บำรุงกันมาแต่เก่าก่อน หรือไม่เคยมีความสัมพันธ์อันลึกล้ำ พี่หลวงจะโอนไปให้สาวเจ้าทำไม
ทั้งที่ผู้หญิงอื่นก็ไปวัดนี้มีเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมคุณเธอเหล่านั้นไม่ได้รับเงินจากพี่หลวงบ้าง
แล้วไม่ใช่โอนครั้งเดียว โอนให้หลายครั้ง ธรรมยุตไม่มีเงินเป็นของส่วนตัวไม่ใช่หรือ แล้วเอาที่ไหนไปเปย์สาว
ล่าสุด ได้ยินมาว่า สาวเจ้าออกมาขอโทษสังคม โดยอ้างว่าตนเป็นไบโพลาร์คิดไปเอง
สังคมเขาก็ยิ่งสงสัยหละซิว่า หากสาวเจ้าคิดไปเอง แล้วพี่หลวงก็คิดไปเองกับเธอด้วยหรือ ถึงขนาดมีคลิปเสียงที่พูดทั้งปลอบ ทั้งขู่ ทั้งข้อร้องสารพัดลีลา ที่จะกล่อมให้สาวเจ้าหลงเชื่อ คนที่เขามีสติปัญญาเขาฟังออกว่า นี่มันไม่ใช่คำพูดของนักบวชคุยกับคนป่วย
แต่มันเป็นคำพูดของชายหญิงที่มีสัมพันธ์อันลึกล้ำมาหลายครั้ง แต่ฝ่ายชายกำลังจะตีตัวออกห่าง ด้วยความกลัวว่าจะถูกแฉ
ล่าสุด ก็เห็นว่า พี่หลวงได้ส่งทีมงานส่วนตัวไปเกลี้ยกล่อมญาติสาวเจ้า ให้เปลี่ยนท่าทีอยู่เงียบๆ
งานนี้คงจะมีโบนัสก้อนใหญ่อะไรๆ มันก็เลยเป็นอย่างที่สังคมมึนงงกันอยู่ในเวลานี้
และที่เลวร้ายก็คือ พระภิกษุผู้ที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย กลายเป็นผู้ผิด ถูกเจ้าอาวาสไล่ออกจากวัด โทษฐานก่อความวุ่นวาย สร้างเรื่องให้พุทธศาสนาเสียหาย (นี่มันบ้าชัดๆ สังคมสงฆ์เราคุ้นเคยกับวิธีปิดฟ้าด้วยฝ่ามือกันมายาวนาน เขาทำกันแบบนี้มาจนเคยชิน กลายเป็นที่กังขาของชาวบ้าน นี่แหละงานถนัดของผู้ปกครองสงฆ์)
แต่ที่ไม่ควรตีมึน ก็คือ พระอุปัชฌาย์และเจ้าคณะปกครองของพี่หลวง ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายเถรสมาคม และหลักพระธรรมวินัยกันหรือไง
พระธรรมวินัยกำหนดไว้ชัดในหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ ว่า ให้บวชแก่ผู้ใดต้องให้การกำกับดูแล อบรมสั่งสอนภิกษุนั้นจนกว่าภิกษุนั้นจะมีอายุพรรษาพ้น ๕ พรรษา
พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่หลักๆ 2 อย่าง คือ เป็นผู้รับผิดชอบและรับรองผู้บวชในพิธีบรรพชาอุปสมบทและเป็นผู้รับปกครองดูแล แนะนำ ตักเตือนและติดตามความเป็นอยู่ของผู้ที่ตนบวชให้ เหมือนบิดาปกครองดูแลบุตร หากไม่ทำตามนี้มีความผิดฐานไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย ปรับอาบัติปาจิตตีย์
และไอ้ที่เลวร้ายก็คือ บวชได้แค่สองพรรษา เจ้าคณะปกครองดันแต่งตั้งให้รักษาการเจ้าอาวาสเสียงั้น
นี่มันวิปริตกันไปใหญ่แล้ว
แถมยังปล่อยให้ตระเวนไปเทศน์สอนธรรมแก่ชนทั้งหลาย โดยไม่มีพระอุปัชฌาย์หรือพระผู้ใหญ่ติดตามไปกำกับดูแล
ไหนใครบอกว่า นักบวชฝ่ายธรรมยุต เคร่งครัดในหลักพระธรรมวินัยไงหละ
แล้ววัตรปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่ผู้เข้ามาบวชใหม่ต้องปฏิบัติมันหายไปไหน
พระอุปัชฌาย์และเจ้าคณะปกครองควรจะรับผิดชอบยังไง
พี่หลวงก็ช่างเหลือเกิน บวชมาได้ไม่กี่วันก็ดันซ่า ปีกกล้าขาแข็ง ทำเป็นเก่งออกไปแสดงธรรมหาเงินเสียแล้ว อิติปิโส พาหุง ยังงูๆ ปลาๆ ไม่ต้องว่ากันถึงธรรม แล้วเอาอะไรไปสอนญาติโยม
การแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เหมือนการแสดงหนังตะลุงหรือร้องเพลงนะหลวง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่หลวงอยู่นี่ก็เป็นการพิสูจน์ได้ว่า พี่หลวงไม่ได้เข้าถึงธรรมขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าจริงๆ อย่างที่พี่หลวงแสดงอวดชาวบ้านเขาเลย
ดูลีลาการแสดงของพี่หลวงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับสองนักเทศน์ชื่อดังที่สึกออกไปนั้นเลย หรือหลวงไปก๊อบปี้พฤติกรรมของพวกเขามา
การปล้นศรัทธาชาวบ้าน เงินทอง ลาภ ยศ ที่ได้มา สุดท้ายมันจบลงอย่างไร ตัวอย่างรุ่นพี่เขาทำไว้ มีให้รุ่นน้องอย่างพี่หลวงเห็นแล้ว
งานนี้คงต้องมีคนรับผิดชอบ กรณีปล่อยให้พระนวกะ ตระเวนไปปล้นศรัทธาหาเงินแล้วได้รับอวยยศเป็นถึงรักษาการเจ้าอาวาส
ทั้งที่มีข้อบังคับห้ามไว้
ท่านเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตว่าไง
อยากบอกพี่หลวงว่า ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ เลวระยำอยู่ที่ทำตัว ถูกผิดหลวงรู้อยู่แก่ใจ ผู้ใดทำกรรมไว้อย่างไร ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น
ไม่รู้ว่าพี่หลวงจะรู้กรรมทันข้อนี้หรือเปล่า ถึงแม้จะหนีสึกออกไปแล้วก็มิอาจหนีพ้นผลกรรมที่ตนทำไปได้
เวรกรรม เวรกรรม (จากไทยโพสต์)
ขณะเดียวกัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นักกฎหมายและสมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
หลวงพี่กาโตะ ลาสิกขาแล้ว โดยไม่ต้องสอบอธิกรณ์ ผมก็ว่าดีนะครับ เรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยุติเสียก่อนจะบานปลาย ท่านเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงในภาคใต้ตอนกลาง ผมเคยเห็นท่านเทศน์ในคลิป แต่ผมดูไม่จบ เพราะผมไม่ชอบการเทศน์แนวนี้ ท่านเริ่มต้นใช้ชีวิตในสมณเพศดี แต่สุดท้ายจบอย่างไรก็ไม่ขอวิจารณ์ แต่การที่ท่านตัดสินใจลาสิกขานี่ผมชื่นชม ดูอายุของท่านแล้ว ก็น้อยกว่าอายุลูกคนสุดท้องของผมเสียอีก
“ถ้าผมจะขอท่านสักอย่าง คือ หลังจากท่านสึกหาลาเพศแล้ว ช่วงแรกขอให้ท่านระวังการใช้ชีวิต เพราะท่านบวชมา 3-4 พรรษา ช่วงนี้เนื้อตัวร่างกายของท่าน ยังเป็นสิ่งที่ได้จากการบำรุงเลี้ยงดูของชาวบ้านซึ่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา อย่าทำอะไรให้ชาวบ้านเสียดาย ข้าวแดง แกงร้อน ที่อุปถัมภ์ท่านในระหว่างอยู่ในสมณเพศ หากคำแนะนำของผมจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็ขอให้ท่านนำไปพิจารณา” (จากไทยโพสต์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ “วงการสงฆ์ไทย” นับวันถูกพูดถึงในทางที่เสื่อมเสียมากกว่าเรื่องดี
ส่วนใหญ่จะเนื่องมาจากเรื่องการทำผิดพระธรรมวินัย หรือ วินัยสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นการสะสมเงินทอง สิ่งของมีค่าทางโลก แล้วกิเลสตัณหาก็หนาขึ้น จนควบคุมกิเลสไม่ได้ และนำไปสู่การใช้เงินทองประพฤติผิดในขณะถือครองผ้าเหลือง
เรื่องพระสงฆ์กับผู้หญิง เป็นข่าวอื้อฉาวมีให้เห็นตามสื่อจนนับไม่ถ้วน มีเรื่องร้องเรียนมากมาย และหลายรูปถูกชาวบ้านรวมตัวกันขับไล่ จับสึก บางรูปจับได้คาหนังคาเขา แต่จนทุกวันนี้ ก็ยังมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอยู่ดีเป็นประจำ เหมือนไม่มีการใส่ใจที่จะแก้ไขแต่อย่างใด?
ยิ่งพระสงฆ์ “รูปงาม” เท่าใด สิ่งที่ชาวบ้านเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก ก็คือ เรื่อง “ผู้หญิง” นั่นเอง แล้วก็หนีไม่พ้นจริงๆ อย่าง “อดีตหลวงพี่กาโตะ” เป็นตัวอย่าง ก่อนหน้านี้ ก็มีหลายคน ที่ไม่ต้องบอกคนไทยก็รู้อยู่แล้ว
ดังนั้น ถึงเวลาหรือยัง ที่ “พระผู้ใหญ่” พระผู้ปกครองสงฆ์ทั้งหลาย จะหันมาสนใจเรื่อง “ปฏิรูปองค์กรสงฆ์” อย่างจริงจัง?
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนที่จะทำให้ชาวบ้านชาวเมือง หมดศรัทธา และเป็นตัวทำลาย “ศาสนา” เสียเอง เพราะที่เป็นอยู่เวลานี้ ชาวบ้านชาวเมืองคิดอย่างไรกับเรื่องเสื่อมเสียของพระสงฆ์ ก็น่าจะรู้อยู่แล้ว
ถ้าไม่อยากให้ทางโลกเข้าไปยุ่ง ทางสงฆ์ก็จะต้องปฏิรูปตัวเองให้ขาวสะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียที หรือรอให้สายเกินไป?