วันนี้ (30 เม.ย.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีการเมืองข่าวร้อนแรงว่า 2 ป จะแยกกันนั้นไม่จริง โดยนายสามารถโพสต์ว่า
วันนี้ ผมขอเขียนถึงเหตุการณ์ทางการเมืองที่ชั่วโมงนี้ว่าแดดประเทศไทยแรงแล้ว การเมืองในประเทศไทยยิ่งร้อนแรงกว่าเป็นพันเท่า ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของรัฐบาลก็ดี เพราะถ้านับปีรัฐบาลในช่วง 4 ปีตามวาระ ปีนี้ก็คือปีสุดท้ายแล้ว ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 จะมีพระราชกฤษฎีกาเปิดสมัยประชุม ดังนั้น สภาก็จะมีกฎหมายสำคัญเข้า ถ้าไม่ผ่านรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือ ยุบสภา ไหนจะยังมีเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจตามญัตติมาตรา 151 ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดไว้สอยคางรัฐบาล หรือ นายกรัฐมนตรี ผมจึงบอกเลยว่าปกติเงื่อนไขการบริหารการเมือง คือ นายกรัฐมนตรี จะมีอำนาจในการปรับ ครม. เพื่อเรียกประสิทธิภาพและประสิทธิผลกู้ศรัทธาจากประชาชน จะเห็นได้ว่า ทำไมในอดีตบางรัฐบาลจะปรับ ครม. ทุก 5 เดือน และพรรคการเมืองดังกล่าวถึงแม้โดนยุบพรรคไปแล้วปัจจุบันก็ยังได้คะแนนความนิยมสูงอยู่มาถึงปัจจุบัน นั้นคือ สิ่งที่ประชาชนเห็น
วันนี้ข่าว บิ๊กตู่ กับ บิ๊กป้อม สื่อมวลชนพยายามทำข่าวนำเสนอให้เห็นถึงรอยร้าวร้อยแยกว่า 2 ป จะแยกจากกัน บางคนว่าจะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่... ผมมั่นใจว่า 2 ป ไม่ว่าจะเป็นพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะไม่เดินหนี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพราะในประวัติศาสตร์ในอดีตมีให้เห็นแล้ว ผมมั่นใจว่าทั้ง 2 บิ๊กจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างในอดีตแน่นอน
ผมขอพาเพื่อนๆ พี่ย้อนไปสมัย พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี พลเอก ชาติชาย ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 2 สามารถนำพรรคชาติไทย ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งในปี พ.ศ. 2531 ในชั้นต้นมีการทาบทาม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อเป็นสมัยที่ 4 แต่ พลเอก เปรม ปฏิเสธ และประกาศวางมือทางการเมือง พลเอก ชาติชาย จึงได้รับการสนับสนุน ให้ดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 17 ของประเทศไทย พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เข้ารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2531 และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง มีการปรับคณะรัฐมนตรี 1 ครั้งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2533 ได้ดำรงตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นระยะเวลารวมประมาณ 2 ปีครึ่ง โดยพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ บริหารประเทศจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ก็ถูกยึดอำนาจการปกครองโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ภายใต้การนำของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี ที่ต่อมานำไปสู่เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. 2535 ภายหลังถูกรัฐประหารโดยคณะ รสช. พลเอก ชาติชาย ได้เดินทางไปพำนักอยู่ในอังกฤษระยะหนึ่ง ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย และก่อตั้ง พรรคชาติพัฒนา ขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนแรก เพราะเชื่อคนใกล้ชิด ซึ่งต่อมาได้นำพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 โดย พลเอกชาติชาย ชนะเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นการเริ่มต้นบทบาททางการเมืองใหม่อีกครั้ง แต่ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะ ทำให้พรรคชาติไทย ในขณะนั้นไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ เพราะมีเสียงแพ้พรรคประชาธิปัตย์ เพราะผลการเลือกตั้งในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 ปรากฏว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน ส.ส. 79 คน เฉือนชนะพรรคชาติไทยไป ที่ได้ ส.ส. 77 คน ไป 2 เสียง พรรคชาติพัฒนา ซึ่งแยกตัวจากพรรคชาติไทย และมี พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้า ได้ ส.ส. 60 คน พรรคความหวังใหม่ ของ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ ส.ส. 51 คน และพรรคพลังธรรม ได้ ส.ส. 47 คน ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้า พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ไม่เชื่อคนใกล้ชิดไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ พรรคชาติไทยอาจจะได้เสียง ( พรรคชาติไทย+ ชาติพัฒนา) 77 + 60 = 137 คน ก็ตั้งรัฐบาลได้สบายอย่างแน่นอน ดังนั้น เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ น่าจะรู้ดี และมีข้อมูลแม่นยำอย่างแน่นอน
ดังนั้น ผมจึงหยิบยกข้อมูลประวัติศาสตร์ในอดีตมาให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจที่ถูกต้อง ผมมั่นใจว่า ถ้าย้อนอดีตได้ พลเอก ชาติชาย คงไม่เชื่อคนใกล้ชิดตั้งพรรคการเมืองอย่างแน่นอน เพราะโดยธรรมชาติทางการเมือง ทำการเมืองต้องใหญ่ขึ้นหาใช่ว่าเล็กลงเรื่อยๆ
ผมเลยมั่นใจว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคารพ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เหมือนน้องรักพี่ เฉกเช่น กวนอู รักและเคารพเล่าปี่ ไม่แยกทางกัน แม้จะเสียเมือง ก็ไม่คิดจะไปอยู่กับโจโฉ หรือ ซุนกวน มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะแยก กวนอู กับ เล่าปี่ ออกจากกัน
ผมจึงมั่นใจว่า ถ้า 2 ป รักกัน ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่ถ้าแยกจากกัน อนาคตไม่ต้องทำนาย เพราะประวัติศาสตร์มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว