xs
xsm
sm
md
lg

“ท่านใหม่” ไม่เข้าใจ อาจารย์หัวสี่เหลี่ยม ใจร้อนล้มล้างสถาบันฯ “อดีตรองอธิการ มธ.” ซัด รับงานใครมาย่อมรู้ดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่ จากแฟ้ม
“ท่านใหม่” ไม่เข้าใจ “พวกสะเก็ดตีนเมรุ” อาจารย์หัวสี่เหลี่ยม ทำไมถึงใจร้อนล้มล้างสถาบันฯ ชี้ ความเสื่อมเป็นไปตามกาลเวลา สภาพ “อดีตรองอธิการ มธ.” ลากไส้ขบวนการ “ล้มเจ้า” รับงานใครมา “อีแอบ” ต่างรู้แก่ใจดี

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (26 เม.ย. 65) ม.จ.จุลเจิม ยุคล หรือ ท่านใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กว่า

“ขอยกตัวอย่างเพียงเล็กๆ น้อยๆ หวังว่า ผู้มีสติปัญญาจะเข้าใจได้ อ่านกันนิด ใช่วิจารณญาณ กันหน่อย

สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรี ที่อยู่คู่กับพระราชอาณาจักร นี้ มาเป็นเวลาช้านาน และยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ในเวลานี้ ทำให้ประเทศชาติอยู่รอดพ้นภัยมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาล ที่ 1 จวบจนถึงรัชกาล ปัจจุบัน…….สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงยังคงมีความสำคัญต่อประเทศชาติ และยังทรงเป็น “ศูนย์รวมจิตใจ” ของพสกนิกรชาวไทย (ส่วนใหญ่) ทั้งชาติ

การดำรงอยู่ หรือไม่ดำรงอยู่ของ สถาบันพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์ จึงควรเป็นไปตามกาลเวลา ตามสภาพ หากพระมหากษัตริย์ พระองค์ใดไม่ครองแผ่นดินโดยสุจริต ขาดทศพิธราชธรรม และไม่ยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนคนในชาติเมื่อนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะเกิดความเสื่อมโดยตัวของสถาบันฯเอง เฉกเช่น ในบางประเทศในยุโรปที่ในอดีตเคยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อนั้น สถาบันฯ ก็จะดำรงอยู่ไม่ได้ในที่สุด

แต่ในปัจจุบันยังไม่ถึงเวลานั้น ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญ ให้ความเคารพ รัก ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

ผมจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงใจร้อนกัน อยากจะรีบล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กันเหลือเกิน ประหนึ่งว่า พวกสะเก็ดตีนเมรุ พวกอาจารย์หัวสี่เหลี่ยม นักวิชาการสมองกลวง เห็นแก่อามิสสินจ้างเล็กๆ น้อยๆ ไปรับงานใครกันมา จึงต้องยุแหย่ เร่งรัด เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายตามกำหนดเวลา มิฉะนั้น จะต้องตกงาน ใช่หรือไม่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหลายต่างก็รู้อยู่แก่ใจ จริงไหมครับ”

ภาพ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ระบุว่า

“เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เห็น fb ของผู้ที่ใช้ชื่อว่า “ซาว ไซย่า” ได้โพสต์ภาพที่ตัดต่อนำพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาใส่ในภาพคนอื่นที่ไม่ใช่พระองค์ และเขียนบรรยายภาพด้วยข้อความที่ทุกคนที่มีใจเป็นธรรมเห็นแล้วไม่อาจรับได้ด้วยประการทั้งปวง

การที่คนพวกนี้กระทำเช่นนี้ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เชื่อว่า ไม่ได้ทำเพราะเกิดนึกสนุกขึ้นมา ไม่ได้ทำเพราะเกิดความแค้นจนไม่อาจไม่แสดงออกเพื่อตอบโต้ได้ เพราะพระองค์ไม่เคยสร้างความแค้นให้กับใคร การใช้นามแฝงใน fb แสดงว่า เป็นการเตรียมการ ทำเป็นขบวนการ มีวาระ มีจุดหมาย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คือ จุดแข็ง จึงต้องกัดเซาะให้คนเสื่อมความนิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์ลงเรื่อยๆ และพวกนี้ไม่มีวันเลิก จนกว่าจะไปถึงจุดหมาย นั่นคือ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และเปลี่ยนการปกครองประเทศให้เป็นแบบสาธารณรัฐในที่สุด

ที่ชอบพูดกันว่า “กษัตริย์ไม่ใช่เจ้าของประเทศ ประชาชนต่างหากคือเจ้าของประเทศตัวจริง” อยากรู้เหมือนกันว่าบรรพบุรุษของคนที่พูดมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด ส่วนใหญ่ปู่ ย่า ตา ทวด ของคนที่พูดล้วนมาจากที่อื่น เข้ามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในประเทศไทย และส่วนใหญ่จะรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ แต่ครั้นมีลูก มีหลาน มีเหลน พวกเขากลับลืมที่มาของบรรพรุษของตนเสียสิ้น ทึกทักเอาว่า ฉันนี่แหละคือเจ้าของประเทศตัวจริง ทั้งที่ตัวเองเพียงได้เกิดในประเทศไทย ถือสัญชาติไทย มีสิทธิถือครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ แม้ปัจจุบันเราจะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่ต้องไม่ลืมว่า พระมหากษัตริย์ทรงก่อตั้งประเทศ หากไม่มีพระมหากษัตริย์ก็ไม่มีประเทศสยาม ไม่มีประเทศไทย

ชอบพูดกันนักว่า “ภาษีกู” กูจะทำอะไรก็ได้ ก็เมื่ออาศัยอยู่ในประเทศไทย เมื่อมีรายได้ก็ต้องเสียภาษี เพื่อนำเงินไปรวมกันเป็นเงินของแผ่นดิน นำไปเป็นงบประมาณแผ่นดินเพื่อใช้จ่ายในการจัดสร้างสาธารณูปโภค สิ่งอำนวยความสะดวก และใช้จ่ายเพื่อให้ส่วนรวมทั้งหมดสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และได้รับการดูแลตามสมควร

แต่การเสียภาษี ไม่ได้หมายความว่า ผู้เสียภาษีจะสามารถทำอะไรกับสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากเงินงบประมาณแผ่นดินก็ได้ตามใจชอบ เพราะทุกอย่างมีกติกา มีกฎเกณฑ์ เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม จึงไม่มีใครสามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไม่มีขอบเขต

ใครก็ตามที่ประกาศว่า สนามหลวงเป็นของประชาชน ประชาชนต้องใช้ประโยชน์อย่างไรก็ได้ หากที่คนพูดเกิดมีวาสนาได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ขึ้นมาจริงๆ โดยตรรกะเดียวกัน ก็น่าจะต้องประกาศด้วยว่า สำนักงาน กทม. และห้องทำงานของผู้ว่าฯ ก็เป็นของประชาชน ดังนั้น ประชาชนจะเข้ามาทำอะไรก็ได้ในสำนักงาน หรือในห้องทำงานผู้ว่าฯ โดยไม่มีข้อห้ามใดๆ

สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็อยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านาน และยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้ประเทศอยู่รอดพ้นภัยมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า สถาบันพระมหากษัตริย์ จึงยังคงมีความสำคัญต่อประเทศไทย

การดำรงอยู่หรือไม่ดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงควรเป็นไปตามกาลเวลา ตามสภาพ หากพระมหากษัตริย์พระองค์ใดไม่ครองแผ่นดินโดยธรรม ไม่ทรงทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน มิพักต้องเอ่ยถึงการกดขี่ประชาชนซึ่งเป็นไปไม่ได้ในยุคปัจจุบัน และหากเป็นเช่นนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะเกิดความเสื่อมโดยตัวเอง และจะดำรงอยู่ไม่ได้ในที่สุด แต่ในปัจจุบันยังไม่ใช่เวลานั้น ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

ไม่เข้าใจว่า ทำไมใจร้อน อยากรีบล้มล้างกันเหลือเกิน ประหนึ่งว่า ไปรับงานใครมา จึงต้องทำให้บรรลุเป้าหมายตามกำหนดเวลา มิฉะนั้น จะต้องตกงาน เปลี่ยนให้ทีมอื่นมาทำงานแทน ใช่หรือไม่ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหลายต่างก็รู้อยู่แก่ใจ”(จากไทยโพสต์)

แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ โพสต์ของ “ท่านใหม่” กับของ รศ.หริรักษ์ ราวกับนัดกันมา เพราะมีสาระสำคัญบางส่วนคล้ายกัน เช่น ที่ชี้ให้เห็นว่า ขบวนการล้มล้างสถาบันฯ รับงานใครมาหรือไม่ ซึ่งอาจมีข้อมูลเบื้องลึกอะไรบางอย่าง?

แต่ถึงกระนั้น จากการเคลื่อนไหวของขบวนการ “3 นิ้ว” ก็เห็นได้ชัดว่า มีความเชื่อมโยงเป็น “ขบวนการ” ทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี “สายสัมพันธ์” กับสถานทูตบางประเทศอีกด้วย

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ถ้าจะมีการ “รับงานใครมา” ใครคนนั้นจะต้องมีผลประโยชน์มหาศาล หากสามารถเอา “ก้างขวางคอ” ชิ้นโต ออกไปได้ หรือไม่จริง!?


กำลังโหลดความคิดเห็น