xs
xsm
sm
md
lg

ยกฟ้องปมตัดต้นไม้ขยายถนนเขตอุทยานเขาใหญ่ ศาล ปค.สูงสุด ชี้ชอบด้วย กม.ใช้วิธีปลูกทดแทน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศาล ปค.สูงสุด พิพากษายกฟ้อง ปมตัดต้นไม้ขยายถนนเขตอุทยานเขาใหญ่ ชี้ กรมทางหลวง-คมนาคม ดำเนินการชอบด้วย กม.ทั้งตัดโค่น เลือกวิธีปลูกต้นไม้ใหม่ทดแทน

วันนี้ (26 เม.ย.) ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาแก้เป็นยกฟ้องในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและชาวบ้านรวม 130 คน ยื่นฟ้องกรมทางหลวง และกระทรวงคมนาคม เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-2 ขอให้ศาลสั่งห้ามมิให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการขยายหรือปรับปรุงถ.ธนะรัชต์ หรือสาย 2090 ตอนแยกทางหลวงหมายเลข 2 ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มรดกโลกระยะทาง 8.1 กิโลเมตร และให้ฟื้นฟูสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอดแนวถนนธนะรัชต์ให้กลับมามีสภาพคล้ายเดิมมากที่สุดภายใต้กระบวนการ โดยนำต้นไม้ที่ถูกขุดล้อมออกไปหรือที่มีลักษณะขนาดใกล้เคียงกับต้นไม้เดิมที่ถูกฟันโค่นกลับมาปลูกทดแทนในจุดหรือในพื้นที่เดิมไม่ต่ำกว่า 1 หมื่น ต้นตลอดแนวถนนทั้ง 2 ด้านของ ถ.ธนะรัชต์

โดยศาลปกครองสูงสุด ให้เหตุผลว่า กรมทางหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขุดล้อมบอนต้นไม้ตามข้อเสนอแนะของกรมป่าไม้ โดยมีคณะผู้ตรวจสอบที่เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับป่าไม้ ซึ่งมีการให้ความเห็นตามอำนาจหน้าที่ไม่ปรากฏเหตุว่ามีส่วนได้เสีย ความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบจึงมีความน่าเชื่อถือ มีน้ำหนักรับฟังว่า ไม่สามารถขุดล้อมบอนต้นไม้ในเขตทางโครงการพิพาทได้ ทั้งกรมป่าไม้ไม่ได้โต้แย้งผลการตรวจสอบของคณะกรรมการ ซึ่งต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้มีอำนาจได้พิจารณาออกใบอนุญาตให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ทำการตัดไม้ เมื่อตัดไม้แล้วได้ลากไปรวมไว้บริเวณกม 16+300.000 ทางหลวงหมายเลข 2090 เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจวัดประทับตรา คำนวณค่าภาคหลวงก่อนที่จะทำไม้ออก ทั้งต้นไม้ในเขตทางโครงการพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองตามมาตรา 4 พ.ร.บ.ทางหลวง 2535 พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าการดำเนินการเกี่ยวกับต้นไม้ในเขตทางโครงการพิพาทเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

นอกจากนี้ หลังการขยายเขตทาง กรมทางหลวงโดยแขวงการทางนครราชสีมาที่ 2 ได้มีหนังสือลงวันที่ 26 ม.ค. 53 ถึงหัวหน้าศูนย์เพาะชํากล้าไม้นครราชสีมา ขออนุเคราะห์กล้าไม้ 2,000 ต้น เพื่อนำไปปลูกเสริมบริเวณที่ว่างในเขตทางหลวง ซึ่งถึงปัจจุบันนับเป็นจำนวนหลายพันต้น โดยกรมทางหลวงได้เลือกปลูกต้นไม้หวงห้ามหลายประเภทที่ถูกตัดฟัน อาทิ สะเดา 42 ต้น ประดู่แดง 92 ต้น หว้า 60 ต้น อินทนิล 334 ต้น โดยในการพิจารณาเลือกชนิดประเภทของต้นไม้ที่นำมาปลูกทดแทน กรมทางหลวงได้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยเลือกใช้ต้นไม้ที่เป็นกล้าไม้บางส่วน เพื่อให้ต้นไม้กลุ่มนี้มีระบบรากแข็งแรงทนต่อลม และใช้ต้นไม้ที่ขุดล้อมบอนมาจำนวนน้อย เพราะต้นไม้กลุ่มนี้ระบบรากไม่แข็งแรง ทำให้ไม่ทนต่อลม แต่ปลูกเพื่อให้ร่มเงาในระหว่างที่กล้าไม้ยังไม่เจริญเติบโต ซึ่งขนาดของต้นไม้ที่กรมทางหลวงได้นำมาปลูกทดแทนมีขนาดกำลังเหมาะสมมีความสูงระหว่าง 1.50-2 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว เพื่อให้ต้นไม้ที่ได้รับการปลูกตั้งแต่เล็กจะมีระบบรากที่เติบโตเต็มที่ทำให้เกิดความมั่นคงกว่าในระยะยาว โดยปรากฏภาพถ่ายในชั้นอุทธรณ์คำพิพากษาว่าปัจจุบันสภาพของเขตทางทั้งสองด้านมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ทั้งการขุดล้อมต้นไม้เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองต้น ต้นไม้เหล่านั้นจะไม่มีรากแก้วไม่มีความมั่นคง ล้มง่าย เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ทาง และอาจเป็นผลกระทบต่อระบบนิเวศในแหล่งนั้นได้ เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ได้เสียทุกด้านประกอบกัน จึงเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ดำเนินการฟื้นฟูต้นไม้ในเขตทางเพียงพอแก่พฤติการณ์ความเสียหายจากการดำเนินโครงการพิพาทแล้ว ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันนำต้นไม้ตามชนิดประเภทขนาดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันและในจำนวนเท่ากันกับต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นไปแล้วตามบัญชีที่ได้สำรวจบันทึกเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 52 ไปปลูกทดแทนตามแนวเขตทางหลวง 2090 ช่วง กม. 2+000.000 ถึงกม.10+100.000 โดยให้เริ่มดำเนินการภายใน 60 วัน นับแต่วันที่พิพากษาถึงที่สุด เพื่อให้มีสภาพใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น