น่าคิด! “ทนายนิด้า” แชร์ประสบการณ์คดีข่มขืน ได้ยินคำว่า “รวย-เก่ง ไม่ทำหรอก” จะอาเจียน เอาล่ะสิ “ปริญญ์” พ่นพิษ! “ไลน์กลุ่ม ปชป.” ล่อกันเละ “การเมือง-การมุ้ง” จี้ “จุรินทร์” รับผิดชอบ ตั้งเป็น “รอง หน.พรรค”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (16 เม.ย.) จากกรณีที่ รองหัวหน้าพรรคการเมืองดัง ล่วงละเมิดทางเพศ ลวนลามหญิงวัย 18 ก่อนจะมีเหยื่อจำนวนไม่น้อย ออกมาเปิดเผยว่า เคยถูกกระทำเช่นกัน
ล่าสุด “ทนายนิด้า” ศรันยา หวังสุขเจริญ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก ทนายนิด้า ระบุว่า...
“จากที่เคยทำคดีข่มขืนมา ผู้ก่อเหตุหลายคนการศึกษาดี เป็นคนเก่งของสังคม มีฐานะการเงินที่ดี อยู่กับเพื่อนฝูงเป็นสายเปย์ แต่เงินของมันไม่ได้มีไว้สำหรับซื้อกิน ผู้หญิงขายบริการสมยอมด้วยอาชีพ ความสมัครใจไม่ก่อให้ตื่นเต้นเร้าใจสำหรับคนแบบนี้ การละเมิดความยินยอมของใครสักคนเป็นการปลุกเร้าอารมณ์ของคนพวกนี้ให้ตื่นเต้นดี เงินที่มีจึงไม่ใช้จ่ายไปกับการซื้อบริการ แต่มักใช้ไปกับการเคลียร์…….
สะอิดสะเอียนทุกครั้งเวลาได้ยินคนพูดว่า
#รวยขนาดนี้เขาไม่ข่มขืนใครหรอก
#เก่งขนาดนี้เขาจะไปข่มขืนคนอื่นทำไม
ฟังแล้วจะอ้วกทันที
#ทนายนิด้า #ทนายหญิงสายลุย” (จากสยามรัฐออนไลน์)
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ได้มีการพูดคุยภายในกลุ่มไลน์ของคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค ที่มีสมาชิกรวม 36 คน
โดย นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคนำข้อความที่ นายธนัท ธนากิจอำนวย หรือ ไฮโซลูกนัท โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรียกร้องให้ตรวจสอบจริยธรรมคณะกก.บห.พรรคประชาธิปัตย์ทั้งชุด ที่ยอมรับและสนับสนุนให้ นายปริญญ์ ได้เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรค
ทั้งนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค โพสต์ข้อความในเชิงตั้งคำถามว่า “แปลว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยครับ” ขณะที่นางศรีสมร ตอบว่า “ไม่มีความเห็นค่ะ ท่าน”
หลังจากนั้น นางมัลลิกา บุญมีตระกูล ซึ่งเปรียบเสมือนร่างทรงของนายจุรินทร์ โพสต์ข้อความสวนขึ้นมาในลักษณะเปิดประเด็นเหน็บแนมคนในพรรคอย่างดุเดือดว่า
“พฤติกรรมของคนหนึ่งคน ควรถูกสอบจริยธรรมทั้งกรรมการบริหารพรรค รึ? แปลว่า อยากอะไร? อยากเปลี่ยนหัวหน้าพรรค? อยากเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค หรือ อยากอะไร? เรื่องนี้เป็นกระบวนการหรือเปล่า ในฐานะหนึ่งในกรรมการบริหารพรรค 39 คน เรื่องของปริญญ์ ยังไม่รู้เลยว่า “ผิด ถูก” เป็นอย่างไร
แต่ถ้าเทียบกัน !! เรื่องที่คนรู้กันทั้งพรรคว่า คนๆ หนึ่ง เป็น “ชู้” ของเมียคนอื่นมานานนม !! แบบนี้ ต้องสอบจริยธรรม ไหม หรือพวกที่ทำให้คนอื่นเข้าใจว่า เป็น “กิ๊ก” ของผัวคนอื่น หรือพวกที่เอาเสื้อไปแขวนไว้บนรถของผัวคนอื่นเพื่อไปงานด้วยกัน ...หรือให้ผัวคนอื่นขับรถไปรับถึงบ้านตนเอง แบบนี้ เรียกว่า ต้องสอบจริยธรรมไหม?.... หรือ คนบางคน เป็น “ชู้” ของผัวคนอื่นมานาน จนถึงขั้นสุด “รู้กันทั้งบาง” มาวันหนึ่ง เปลี่ยนทางจากผัวของอีกคน มาเป็นผัวของอีกคน !! แล้วคนๆนั้น เป็น ส.ส.ในสภาด้วย !!
แบบนี้ เราต้องสอบจริยธรรมไหม???? ตั้งเลย !! สอบตั้งแต่กรรมการเนี่ยแหละ” หลังจากโพสต์ข้อความนี้ ในกลุ่ม กก.บห.พรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏว่า ในห้องดังกล่าวเงียบ
ส่วนในไลน์กลุ่มชื่อ “อดีต ส.ส.และ ส.ส.ประชาธิปัตย์” ที่มีสมาชิกในห้องรวม 155 คน ได้มี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย โพสต์ข้อความว่า
“ขออนุญาตนะครับ เรื่องที่เป็นข่าวฉาวในขณะนี้กระทบคนที่ทำที่พื้นที่อย่างหนัก ผมเชื่อว่า ผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก.จะยิ่งหนักกว่า หนักที่สุดคือชื่อเสียงของพรรคเรา ที่อีกไม่กี่เดือนจะมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว
ผมขอให้ผู้บริหารมีท่าทีที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้ ที่จะสร้างความมั่นใจกับสังคมว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะไม่เพิกเฉย ดูดาย หรือเกียร์ว่าง กับเรื่องที่เกิดขึ้นครับ ขออนุญาตที่ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา” หลังจากนั้น ก็ไม่มีสมาชิกพรรค หรือผู้บริหารพรรค ตอบแต่อย่างใด
โดย นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ตอบว่า “ปัญหาต่างๆ ที่ไม่จบก็เพราะไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอย่างตรงไปตรงมา เห็นใจคนลงพื้นที่ค่ะ”
ขณะที่ นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา ได้โพสต์ต่อว่า “น่าเสียดายเหตุการณ์นี้ไม่น่ามาซ้ำเติมพรรคให้ตกต่ำลงไปในสายตาประชาชนเลย สงสารพี่เอ้ และบรรดาผู้สมัคร ส.ก.ทุกคน ถ้าฝ่ายบริหารไม่สืบสวนความจริงและออกมาขอโทษประชาชนในเรื่องนี้ ก็จะกระทบภาพของพรรคในอนาคตอีกด้วยครับ”
จากนั้น นายชวน หลีกภัย ในฐานะผู้อาสุโสสุดในห้องไลน์กลุ่มดังกล่าว ได้โพสต์ข้อความสั้นๆ ว่า “อย่ากลัวปัญหา เมื่อมีปัญหา ก็อย่าหนีปัญหา” โดยหลังจากที่นายชวนโพสต์ข้อความนี้ ก็ไม่มีการพูดคุยถึงประเด็นต่ออีก
ทั้งนี้ แหล่งข่าว แจ้งว่า มีกระแสความเคลื่อนไหวและการพูดคุยซุบซิบกันว่า ในหมู่สมาชิก ส.ส. และอดีต ส.ส.พรรคถึงกรณีของนายปริญญ์ ที่เกิดขึ้น ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคในฐานะผู้เสนอชื่อนายปริญญ์ ให้เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคทีมเศรษฐกิจทันสมัย
การไม่เห็นด้วยของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ส.ส.หลายคนที่รู้จักประวัตินายปริญญ์ เคยทักท้วงและคัดค้านแล้ว แต่ปรากฏว่า นายจุรินทร์ ยังยืนยันที่จะเสนอชื่อนายปริญญ์ ขึ้นมาเป็นรองหัวหน้าพรรคทีมเศรษฐกิจทันสมัยเพื่อต้องการสร้างภาพให้เห็นว่า สามารถดึงคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นทีมอะเวนเจอร์
ซึ่งขณะนั้น นายกรณ์ จาติกวนิช ยังเป็นสมาชิกพรรคและเป็นอดีต รมว.คลัง ถูกมองข้ามหัวไป จนทำให้นายกรณ์ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและไปตั้งพรรคกล้า (จากสยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ “ผลสะเทือน” ถึงพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเบื้องต้นกำลังหา “แพะรับบาป” และพุ่งเป้าไปที่ “จุรินทร์” หัวหน้าพรรค และผู้ผลักดัน “ปริญญ์” ขึ้นมาเป็นรองหัวหน้าพรรคนั่นเอง
และผลที่ตามมาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ก็คือ ผลกระทบกับสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม เพราะอย่าลืม “ปริญญ์” ก็ได้รับแต่งตั้งเป็น ผอ.ศูนย์เลือกตั้งด้วย
ในทางการเมือง ผลสะเทือนที่เกิดขึ้น อาจไม่ต้องรอคำตัดสินของศาล ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานถึง 3 ศาล แต่แค่มีปัญหา มีความเสื่อมด้านใดด้านหนึ่ง ก็เพียงพอ ที่สังคมจะพิพากษา นี่คือ ข้อควรระวังอย่างสูงของคนที่อาสาเข้ามาทำงานการเมือง และบริหารประเทศ กรณี “ปริญญ์” น่าจะให้บทเรียนเป็นอย่างดี
เหนืออื่นใด สิ่งที่สังคมจะต้องคำนึงถึง ในการหยิบยกเอาเรื่องนี้มาพูด หรือวิพากษ์วิจารณ์ ตัดสินด้วยตัวเอง ก็คือ ขณะนี้ยังถือว่า “ปริญญ์” ไม่มีความผิด จนกว่า ศาลจะมีคำพิพากษา “ถึงที่สุด” เพราะฉะนั้น อาจเข้าข่ายทำผิดกฎหมายหมิ่นประมาท หรือ ทำลายผู้บริสุทธิ์ได้เช่นกัน
ดีที่สุดคือ ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำงานอย่างเต็มที่ ด้วยพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงทางคดี อีกไม่นานก็คงจะได้คำตอบแล้วว่า ผิดหรือไม่ เชื่อว่าหลายคนก็คงเข้าใจเรื่องนี้ดี