เมืองไทย 360 องศา
เป็นที่คาดหมายแบบรับรู้กันล่วงหน้าแล้วว่าหลังจากเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาวหลายวัน จะมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มจำนวนมากขึ้น ตามตัวเลขที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์เอาไว้ คือ ราววันละ 5 หมื่นคนถึง 1 แสนคน หรืออาจจะมากถึงวันละ 2 แสนคนก็เป็นไปได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีผู้ติดเชื้อไปแล้ววันละประมาณ 2 หมื่นกว่าคนทุกวันอยู่แล้ว ยังไม่นับผู้ติดเชื้อที่อยู่นอกระบบที่คาดกันว่าไม่ต่ำกว่าแสนคน
ก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหลังจากเมื่อวันที่ 9 เมษายน ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นนิวไฮ สูงถึง 98 ราย และล่าสุด สูงถึงวันละกว่าร้อยราย ว่า ตัวเลขการเสียชีวิตจะตามหลังการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นมาตลอด สอดคล้องกับตัวเลขปอดอักเสบ และใส่ท่อช่วยหายใจที่เพิ่มขึ้นมาเดือนครึ่งแล้ว
“แต่ย้ำว่า ผู้เสียชีวิตช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เป็นผู้ที่รับวัคซีนไม่ครบ 3 เข็ม โดย 85-90% เป็นกลุ่ม 608 ดังนั้น และขณะนี้ยังมีผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี อีกกว่าล้านคนยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก จึงขอให้มารับวัคซีน อย่าคิดว่าไม่ได้ออกไปเจอใคร แต่ไวรัสเข้ามาหาเราได้ โดยเฉพาะช่วงที่พบปะลูกหลาน เราอยากให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ใช่กลับมาแล้วได้ข่าวว่าเกิดการติดเชื้อ สำหรับเป้าหมายทำให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น อัตราเสียชีวิตอยู่ที่ 0.1% ดังนั้น การติดเชื้อ 20,000 ราย ตัวเลขเสียชีวิตก็ไม่ควรเกิน 20 ราย แต่ขณะนี้ 98 ราย ถือว่ายังสูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ 3-4 เท่า จึงต้องเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดอัตราความรุนแรงของโรคและการเสียชีวิต โดยควบคู่กับมาตรการป้องกัน สวมหน้ากาก ล้างมือและเว้นระยะห่างต่อเนื่อง”
“หลังเทศกาลสงกรานต์ คาดว่าจะเห็นตัวเลขติดเชื้ออยู่ที่ 50,000-100,000 รายต่อวัน ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่ายที่จะช่วยกันป้องกันให้ตัวเลขอยู่ในระดับใด ที่สำคัญคือ ต้องดูแลเรื่องการเสียชีวิต ไม่ควรให้เกินวันละ 200 ราย เพื่อให้ระบบบริการสุขภาพตั้งรับได้ อย่างบางจังหวัดอัตราครองเตียงเกินครึ่งแล้ว ทั้งนี้ การติดเชื้อในกลุ่มที่ไม่มีความเสี่ยง มีตัวเลขชัดเจนว่า การฉีดวัคซีน 3 เข็มขึ้นไป ลดอัตราความรุนแรงได้ แต่หากฉีด 3 เข็มแต่มีโรคร่วมอื่น เช่น เบาหวาน ความดัน ยังต้องระวังเป็นพิเศษ” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อมูลที่ใช้คาดการณ์สถานการณ์ผู้เสียชีวิตที่ไม่ควรเกินวันละ 200 ราย เกิดจากการฉีดวัคซีนเข็ม 1 กว่า 80% ของประชากร เข็ม 2 อีกเกือบ 75% ขณะที่ เข็ม 3 และ 4 ฉีดไป 35-36% แต่ยังมีผู้สูงอายุอีกกว่าล้านที่ยังไม่รับวัคซีน ดังนั้น หากเราฉีดวัคซีนได้มากขึ้นในกลุ่มนี้ ก็จะช่วยลดอัตราเสียชีวิตได้ สำหรับเทศกาลสงกรานต์ เลี่ยงการถอดหน้ากากอนามัย หากทุกคนในครอบครัวรับวัคซีนแล้ว ก็สามารถใช้ ATK ตรวจก่อนพบปะ รับประทานอาหารร่วมกัน หากทำให้ครบถ้วนก็จะลดความเสี่ยง โดยเฉพาะคนที่ตรวจพบเชื้อแล้ว ก็ให้งดพบปะคนอื่นแล้วใช้การพบหน้าทางไกลแทน
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก่อนไปต้องคลีนตัวเองให้ดี เคร่งครัดมาตรการส่วนบุคคล เมื่อกลับมาหลังเทศกาลสงกรานต์ก็เช่นกัน เพราะพบว่าสาเหตุการติดเชื้อส่วนใหญ่วนเวียนติดจากบ้านมาที่ทำงาน จากที่ทำงานมาบ้าน ลักษณะเช่นนี้เสมอ โดยคาดการณ์สถานการณ์ของไทยจะทรงตัว และอาจมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างช้าๆ ในส่วนของตัวเลขผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจ
จากการคาดการณ์ผลจากมาตรการป้องกันควบคุมโรคปี 65 เปรียบเทียบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่, จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ, จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบใส่ท่อช่วยหายใจ และจำนวนผู้เสียชีวิต ภาพรวมในประเทศ โดยสถานการณ์เลวร้ายที่สุด คือผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรค ลดแยกกัก-กักตัว ฉีดวัคซีนทุกเข็มน้อยกว่า 200,000 โดสต่อวัน ประชาชนส่วนใหญ่ย่อหย่อนต่อมาตรการ Universal Prevention (UP) คาดจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงสุดในวันที่ 19 เม.ย. 65 อยู่ที่ประมาณ 100,000 รายต่อวัน ผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบพุ่งสูงสุดในช่วงวันที่ 3-5 พ.ค. 65 อยู่ที่เกือบ 6,000 รายต่อวัน ผู้เสียชีวิต ในช่วงวันที่ 3-5 พ.ค.65 พุ่งสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 250 รายต่อวัน
อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า ในภาพรวมจากการประมาณเหตุการณ์ พบว่า สถานการณ์การโควิด-19 ของไทยอยู่ในระดับกลางจากที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมด โดยความร่วมมือของประชาชนยังคงอยู่ในระดับดี และหากสามารถคงมาตรการไว้ได้ จะสามารถควบคุมการระบาดได้อย่างต่อเนื่องถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่หากหย่อนยานมาตรการ จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นได้
แน่นอนว่า การคาดการณ์ดังกล่าวที่ว่าหลังสงกรานต์จะมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งขึ้นวันละนับแสนคน หรืออาจมากกว่านั้นหลายเท่า เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงในการการเดินทาง “เคลื่อนไหวข้ามพื้นที่” หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคมาระยะหนึ่งแล้ว ประกอบกับด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจปากท้อง ที่รัฐบาลต้องเปิดประเทศหารายได้ทำให้มีการเดินทางหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มมากขึ้น จะเป็นตัวเร่งให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่า เป็นสิ่งที่เป็นไปได้อยู่แล้ว และไม่เหนือความคาดหมาย
ประกอบกับมีการฉีดวัคซีนไปแล้วจำนวนมาก จนถึงเข็มกระตุ้นเข้มที่ 3-4 กันแล้วไม่น้อย ถือว่าสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดียังมีคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบโดสโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในกลุ่มนี้เป็นจำนวนมากที่สุด มันก็ยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกัน เมื่อได้เห็นภาพตามแหล่งจังหวัดท่องเที่ยวทุกภาคที่เห็นผู้คนจำนวนมากมีการแออัดยัดเยียดมันก็ยิ่งคาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าได้ไม่ยากเลยว่าหลังจากเทศกาลสงกรานต์ผ่านไปแล้วจำนวนผู้ติดเชื้อจะต้องพุ่งสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัว อาจเป็นไปได้ถึงวันละ 1-2 แสนคนก็เป็นไปได้มาก แม้ว่าเชื้อกลายพันธุ์ “โอมิครอน” อาจจะไม่รุนแรงเหมือนเชื้อกลายพันธุ์ตัวก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่เมื่อมีการรายงานเข้ามาทุกวันว่ายอดผู้เสียชีวิตล่าสุดเกินร้อนรายต่อเนื่องมาสามสี่วันแล้ว มันก็ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะหากยอดผู้ป่วยพุ่งไปถึงหลักแสนเมื่อไหร่มันก็ยิ่งเสี่ยงต่อการระบาดเป็นลูกโซ่ เป็นทวีคูณ จะทำให้การควบคุมและทำให้ลดจำนวนลงได้ช้าลง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบตามมาอีกหลายด้าน โดยเฉพาะความเชื่อมั่น และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะไม่เป็นไปตามที่คาดเอาไว้
แม้ว่าที่ผ่านมา ทาง ศบค.และผู้เชี่ยวชาญจะคาดหมายเอาไว้แล้วว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อหลังจากนี้ จะเพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว และเตรียมมาตรการรองรับเอาไว้รอบด้านแล้วก็ตาม แต่ทุกอย่างมันก็อาจไม่เป็นไปตามที่คาดก็ได้ หากมียอดผู้ติดเชื้อเกินการควบคุม ซึ่งหากเห็นภาพความแออัด ความสนุกสนานที่เลยเถิดในหลายพื้นที่มันก็น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ว่าเราอาจจะต้องเจอกับภาวะการระบาดระลอกใหญ่อีกครั้งเร็วๆ นี้ ซึ่งมองในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน !!