เมืองไทย 360 องศา
ครั้งนั้นมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการช่วยผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครบางคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีปฏิเสธ อ้างว่า เป็นโอกาสที่ต้องมาเยี่ยมเยียนถามสารทุกข์สุกดิบตามปกติ และยังได้รับฟังปัญหา ให้กำลังใจกับพี่น้องประชาชนที่กำลังอยู่ในช่วงยากลำบากด้วยกัน ก็ว่ากันไป จะเชื่อแบบไหนก็แล้วแต่มุมมอง
จากนั้น มาถึงวันที่ 12 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เปิดทำเนียบรัฐบาลให้บรรดารัฐมนตรี ข้าราชการ ผู้นำเหล่าทัพ และคนใกล้ชิดเข้ารดน้ำขอพร แม้ว่าจะเป็นการปรับลดขนาดงานลงมาให้มีคนเข้าร่วมน้อยลง เนื่องจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ตาม จากเดิมที่เคยจะให้บรรดา ส.ส.และ ส.ว. เข้าร่วมงานด้วย แต่ก็ยกเลิกไป
อย่างไรก็ดี การจัดงานดังกล่าวก็ยังถูกมองว่าเป็นความเคลื่อนไหวต่อเนื่องมาจากการ “เดินชมตลาด” ก่อนหน้านี้ เป็นการพบปะแสดงความใกลชิดกับ ส.ส.และสมาชิกรัฐสภา ก่อนที่กฎหมายสำคัญจะเข้าสู่การพิจารณาในช่วงเปิดสมัยประชุมกลางเดือนพฤษภาคม ทั้งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญสองฉบับ ที่กำลังถูกมองว่าอาจมีการแก้ไขในประเด็นสำคัญบางอย่าง เช่น วิธีการนับคะแนน ส.ส.เป็นต้น ที่จะส่งผลในทางการเมือง กฎหมายการเงินสำคัญ เช่น งบประมาณปี 66 และโดยเฉพาะการรับมือกับญัตติซักฟอกของฝ่ายค้าน ที่มีเป้าหมายหลักมาที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง
ล่าสุด ก็ยังได้เห็นความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่น่าสนใจเข้ามาอีก นั่นคือ การแถลงของ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม. วันที่ 12 เมษายน ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ในเดือนพฤษถาคมนี้ จะมีการเปิดเวทีเสวนาของรัฐบาล ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในงานด้านต่างๆ มาตอบข้อสงสัย ในประเด็นที่ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ยังมีคำถาม หรือความเข้าใจ ที่ไม่ตรงกัน จึงได้ใช้เวทีสาธารณะนี้เป็นพื้นที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงรับฟังเสียงสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนด้วย
ทั้งนี้ จะมีการประชุมเพื่อกำหนดวันเวลาและสถานที่ต่อไป รวมถึงจะมีการตั้งคณะทำงานที่นายกฯมอบหมายเป็นผู้รับผิดชอบด้วย
การเปิด “เวทีสาธารณะ” ของรัฐบาลภายใต้การสั่งการของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ก็ต้องบอกว่า น่าสนใจเหมือนกัน เพราะไม่ว่า “ไทม์มิ่ง” หรือช่วงจังหวะเวลา ที่กำลังเหมาะสม นั่นคือ หนึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังจะครบวาระโดยบริหารมานานกว่า 3 ใกล้จะครบ 4 ปี ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อีกทั้งยังเป็นช่วงที่ต้องพบเจอกับมรสุมรุมเร้าสารพัด ทั้งภายนอกภาย ทั้งสถานการณ์โรคระบาดที่ยืดเยื้อหนักหนามาเกือบสามปีแล้ว และประดังเข้ามาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ก่อให้เกิดวิกฤตพลังงาน ซ้ำเติมเข้ามาอีก
แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ยังเป็นช่วงที่ “บิ๊กตู่” รวมไปถึง “กลุ่มสาม ป.” ถูกโจมตีและถูกโฟกัสมากที่สุด ทั้งในเรื่องผลงาน รวมไปถึงการ “แตกคอ” กันเอง โดยเฉพาะระหว่าง “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
หากมองไปที่การตั้งเวทีสาธารณะภายใต้การสั่งการของ นายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ที่ว่าน่าสนใจก็ตรงที่ว่าเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ซึ่งตรงกับช่วงเปิดสภาสมัยสามัญ และพรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็กำลังจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพอดี แม้ว่ากำหนดการยื่นญัตติอาจจะยังไม่ชัดเจนนักว่าเป็นเดือนไหน เพราะมีปัจจัยและองค์ประกอบบางอย่างที่ต้องตัดสินใจ เช่น ฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทย อาจต้องการให้กฎหมายสำคัญสองฉบับที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งผ่านสภาเสียก่อน เพราะมั่นใจว่าพวกเขาจะได้เปรียบโดยอ้างถึงการชนะแบบ “แลนด์สไลด์” แต่เอาเป็นว่าไม่ว่าช่วงไหนก็ต้องยื่นซักฟอกอยู่แล้ว
ดังนั้น การที่ “เปิดเวทีสาธารณะ” เพื่อให้ นายกรัฐมนตรี และบรรดารัฐมนตรี ได้ชี้แจงผลงาน ตอบข้อซักถาม หรือข้อสงสัยต่างๆ มันก็เหมือนกับการ “เคลียร์” ปัญหาแบบ “ตัดเกม” ของฝ่ายค้านเสียก่อน อย่างน้อยอาจเป็นการผ่อนแรงกระแทกในสภาลงไปได้บ้าง อย่างน้อยก็อาจ “ไม่โดนขึงพืด” อยู่ข้างเดียว โดยเฉพาะในเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสังคม และยังเป็นการสกัดพวก “เฟกนิวส์” ไปได้อีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ดี ก็ต้องรอว่าคณะกรรมการดำเนินการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตั้งขึ้นมาจะเป็นใครบ้าง และมีขอบข่ายลักษณะ “เวทีสาธารณะ” จะออกมาแบบไหน เป็นการชี้แจงและตอบข้อสงสัยซักถามแบบเปิดกว้างแค่ไหนอีกด้วย แต่อย่างน้อยหากมองในมุมการเมืองก็ต้องถือว่าเป็นการแก้เกมในแบบ “ลดแรงกระแทก” จากฝ่ายตรงข้ามได้อีกทางหนึ่ง
และที่สำคัญ ยังมีโอกาสในการเรียก “เรตติ้ง” คืนกลับมาได้บ้าง ในช่วงที่กำลังเจอกับมรสุมสารพัดเข้ามา ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลานั้นยังเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะมีการแสดงท่าทีถึงอนาคตทางการเมืองชัดเจนขึ้น เพราะน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วว่า จะไปต่อหรือกลับบ้าน แต่เท่าที่ประเมินที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยบอกว่าจะวางมือ เพียงแต่บอกว่า “ยังไม่ถึงเวลา” เท่านั้น
และล่าสุด ยังมีการย้ำออกมาว่า “บิ๊กป้อม” ไม่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างคำพูดที่ยืนยันกับเขาเองว่า ไม่ต้องการ และจะสนับสนุนเขาให้เป็นนายกฯ ตลอดไป ... “ท่านก็ยืนยันร้อยครั้งว่า ท่านไม่เป็น”
เมื่อถามย้ำว่า แต่กระแสคนรอบข้างอยากให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่รู้ว่าใครพูด แต่ผมถาม พล.อ.ประวิตร ท่านก็พูดแบบเดิมทุกครั้ง เราไม่เคยพูดกันเรื่องนี้ ไม่เคยสงสัยเรื่องนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมแตกคอกันได้ทั้งสิ้น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น”
ถามว่า เชื่อมั่นว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้อยากเป็นนายกฯใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ท่านก็ไม่เคยบอกว่าจะเป็น หรือไม่เป็น แต่ท่านก็บอกผมว่าท่านก็ยินดีและสนับสนุนนายกฯตลอดไป”
ดังนั้น จากคำพูดล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นการ “บล็อก” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ให้ขยับตัวมากกว่านี้หรือไม่ ไม่รู้ รู้แต่ว่านี่คือการขยับครั้งสำคัญ และเริ่มเคลื่อนไหวในเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายสมัยประชุมที่แล้ว ต่อเนื่องมาจนถึงปิดสภา รวมไปถึงเตรียมรับมือการเปิดสภาในเดือนพฤษภาคม แม้จะไม่บอกว่าเอาไง แต่รับรองว่าต้องการ “ไปต่อ” แน่นอน !!