ข่าวปนคน คนปนข่าว
** งานนี้หิวแสงเรียกพี่ “อลงกรณ์” โม้ผลงานส่งผลไม้ไทยไปจีน แต่ความจริงสุดอนาถา
เป็นเรื่องที่หัวร่อมิออกร่ำไห้มิได้ของคนในวงการค้าการขายเมื่อเห็น “อลงกรณ์ พลบุตร” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบ (เฉพาะกิจ) อวดโอ่ผลงานว่า ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ในการขนส่งผลไม้ไทยไปจีน
ประกาศก้องว่า ทุเรียน 2 ตู้คอนเทนเนอร์ และ มะพร้าวจำนวน 6 ตู้คอนเทนเนอร์ ทางรถไฟ จาก จ.ระยอง ในภาคตะวันออกไปยังสถานีรถไฟหนองคาย จากนั้นขบวนรถไฟจะขนส่งผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ข้ามแม่น้ำโขงไปยังท่าบก ท่านาแล้ง ก่อนยกขึ้นหัวลากจากท่านาแล้ง 2.9 กม. ไปขึ้นรถไฟลาว-จีน ที่สถานีเวียงจันทน์ ก่อนขนส่งไปสถานีรถไฟนาเตย แล้วยกขึ้นรถหัวลากเดินทางไปด่านบ่อเตนของลาว ข้ามพรมแดนลาว-จีน ไปตรวจปล่อย ที่ด่านโมฮ่าน ในมณฑลยูนนานของจีน
“อลงกรณ์” ยังคุยแบบสุดปลื้มว่า นี่เป็นระบบการขนส่งหลายรูปแบบ Multi Modal Transportation ที่เริ่มดำเนินการเป็นครั้งแรก เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า นอกจากทุเรียน มะพร้าวแล้ว ในสัปดาห์นี้จะส่งออกขนุนจากภาคใต้ ต่อด้วยผลไม้ เช่น ลำไย จากภาคเหนือ โดยหวังว่า จะผ่านไปด้วยดี โดยตัวเองจะติดตามทุกขั้นตอนจนกว่าทุเรียนและมะพร้าว จะถึงกวางโจว
เรื่องนี้ ทำไมถึงบอกว่า เป็นเรื่องหัวร่อมิออก ร่ำไห้ไม่ได้ เพราะ ถ้าใครติดตามข่าวกันให้ดีก็จะรู้ว่าปีนี้ ผลไม้ไทยไปจีนนั้นมีปัญหาหนักหนาสาหัส เพราะ จีนเข้มงวดมาก เรียกว่า เข้าขั้นวิกฤต
เดิมมี 3 ทางเลือกที่จะส่งออก โดยหนึ่งนั่นไปทางเรือ ผ่านแหลมฉบังไปขึ้นที่กวางสี หรือไม่ก็ ฮกเกี้ยน แต่สถานการณ์โควิด จีนสั่งตรวจเข้มข้น ทำให้ส่งไม่ได้ ไปไม่ถึง ครั้นจะไปล่องเรือข้ามโขงก็ทำไม่ได้เพราะ ไทยก็ดันทำตัวเองจากการที่รัฐบาลไทยไม่ได้เข้าร่วมปฏิญญาลุ่มน้ำโขง ส่วนอีกทางคือ ทางบก เส้นทาง R3A เจอปัญหาจีนปิดซ่อมอีกก็คงเหลือ ทางรถไฟ ที่ว่าเป็นทางรอด
แต่...การขนส่งผลไม้ไปจีนผ่านทางรถไฟก็ไม่ง่าย ซึ่ง ว่ากันว่ากว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องอาศัยรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน งานนี้แต่ละขั้นตอนที่เดินทาง ก็ยักแย่ยักยัน ทุลักทุเล ตั้งแต่ขนจากรถ ไปส่งที่สถานีรถไฟธรรมดา ยกขึ้นยกลงหลายต่อ ต้องว่าจ้างรถลากของลาวเพื่อไปให้ถึงรถไฟความเร็วสูง เป็นทอดๆ เอาเป็นว่า ส่งทุเรียน 2 ตู้ ต้องยกขึ้นยกลงหลายต่อต่ำๆ ก็ 4 เที่ยว เป็นอย่างน้อย ขนกันไปอย่างอนาถา 2 เดือน น่าจะได้สัก 3,000 ตัน
ลองหลับตานึกภาพตาม ทุเรียนไทย รอนแรมจากไทย 2 ตู้นี้ ขนรถบรรทุกไปขึ้นรถไฟ ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างราง 1 เมตร ไปหนองคาย จากหนองคาย ไปที่สถานีขนส่ง แล้วต้องขนลงรถลากไปขึ้นรถไฟลาว-จีน จากนั้นก็ไปที่ด่านโมฮัน แล้วขนของลงไปขึ้นรถลาก ที่บ่อเต็น อยู่ชายแดนลาว- จีน จากบ่อเตน ก็ใช้รถลากไปที่คุนหมิง ถ้าไม่ใช่พ่อค้าจีนติดต่อเอง พ่อค้าไทยจะมีปัญญาที่ตรงไหน? ถาม “อลงกรณ์” ที่บอกจะติดตามดูไปจนถึงที่นู้น ติดตามอย่างไร
ไม่อยากจะคิดต่อว่า ผลผลิตทุเรียนไทยปีนี้คาดกันว่า จะมีถึง 740,000 ตัน 2 เดือนขนไปได้ 2,000 ตัน เปอร์เซ็นน้อยนิด เกษตรกรจะทำกันยังไง ?
ไหนจะมังคุด ลำไย นี่ก็ใกล้มากันอีก น่าสงสารเกษตรกรไทยที่จะส่งออก ไปแบบอนาถาแบบนี้ อีกชาติกว่าๆ ถึงจะระบายผลไม้ได้หมด แล้วอย่างนี้ “อลงกรณ์” ยังจะเคลมเป็นผลงานอันน่ายินดีปรีดาได้อย่างไร นอกจากทำให้คนเขามองว่า อยากทำผลงานตามประสานักการเมืองโดยปัญหาไม่ได้ถูกแก้ให้ตรงจุด มิหนำซ้ำ ออกมาเอาแสง ชนิดพวก “หิวแสง” เรียกพี่
งานนี้รัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงเมื่อไหร่จะยอมรับ วิกฤตผลไม้ไทยไปจีน เกินเบอร์ที่ “อลงกรณ์” หรือ แม้แต่ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รมว.กระทรวงเกษตรฯ หรือปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์ ลุยถั่วทำแบบอนาถากันอย่างนี้ไม่ได้
ปัญหามันใหญ่เกินไป ชะตากรรมของเกษตรกร จะต้องเผชิญกับนักการเมืองหิวแสง ดูแล้วหดหู่ใจ งานนี้ถ้า “ลุงตู่” ไม่รู้สึกอะไร ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้วนะจิ๊
** เรตติ้ง “ลุงตู่” สาละวัยเตี้ยลง “พิธา” นำหน้า “อุ๊งอิ๊ง” ทายาทอสูรหายใจรดต้นคอนั่งนายกฯ
ดูความเคลื่อนไหววงการเมืองผ่านการทำโพลตอนนี้ต้องบอกว่า น่าสนใจทีเดียว โดยเฉพาะ “นิด้าโพล” ล่าสุด ผลออกมาว่า ประชาชนยังไม่ห็นใครเหมาะสมที่จะนั่งนายกฯ และไม่สนับหนุนพรรคการเมืองใดเป็นพิเศษ
ส่วนถ้าจะให้เลือกว่า ใครเหมาะสมอันดับรอง จากไม่มีใครเหมาะสม ยิ่งน่าสนใจว่า คนส่วนใหญ่เลือก “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล แซงหน้า อันดับ 3 ร้อยละ 12.67 ที่ระบุว่าเป็น “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อันดับ 4 ร้อยละ 12.53 ตาม “ลุงตู่” มาติดๆ ระบุว่าเป็น “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครับเพื่อไทย “ทายาทอสูร” ของ โทนี่ วู้ดซัม ทักษิณ ชินวัตร ที่เพิ่งเปิดตัว เป็นตัวตายตัวแทนพ่อในพรรคเพื่อไทย
ส่วนอันดับรองๆ ลงไปอยู่ห่างๆ อย่าง ได้แก่ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” พรรคไทยสร้างไทย “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” พรรคเสรีรวมไทย “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” พรรคเพื่อไทย “กรณ์ จาติกวณิช” พรรคกล้า “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” พรรคประชาธิปัตย์ และ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ตามลำดับ ซึ่งก็ไม่เหนือความคาดหมาย
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจปีที่แล้ว พบว่า คะแนนนิยม “ลุงตู่” นั้นทรุดต่อเนื่อง ขณะที่ “พิธา” และ “อุ๊งอิ๊ง”กลับเพิ่มขึ้น
นี่น่าเป็นห่วง “ลุงตู่” ที่คะแนนสาละวันเตี้ยลง เจอ “พิธา” ขวัญใจสามกีบ ถีบตัวขึ้นแซงไม่พอ ยังเจอน้อง “อุ๊งอิ๊ง” โขยกขึ้นมาอีก แถมพรรคที่จะส่ง “ลุงตู่” ขึ้นแท่นนายกฯอีกวาระ ก็พะงาบๆ คะแนนไม่เป็นที่นิยม โดยพรรคเพื่อไทย มาอันดับรอง จากที่ไม่สนับสนุนพรรคใด ส่วนอันดับ 3 ระบุว่า พรรคก้าวไกล ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รั้งอยู่อันดับ 5 นู่นเลย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจคะแนนนิยมปีที่แล้ว ก็ลดลงเช่นเดียวกับเรตติ้งของ “ลุงตู่”
ศึกนี้ใหญ่หลวงนัก ต้องติดตามว่าก่อนจะถึงวันเลือกตั้งครั้งใหม่ “ลุงตู่” จะกระชากเรตติ้ง ด้วยกลยุทธ์ไหนอย่างไร ถึงจะกลับมาครองใจมหาชนเหมือนยุคแรกๆ หรือ จะยิ่งเตี้ยลง สาละวันเตี้ยลง กู่ไม่กลับอย่างนี้ต่อไป ไม่เช่นนั้น ความหวังจะเป็นนายกฯอีกสมัยจะริบหรี่ เป็นแน่แท้ เตรียมเอาปากกามาวงไว้ล่วงหน้าได้เลย