ใครคุกคาม? “ชาญวิทย์” โพสต์ข้อความพร้อมหลักฐาน อ้างชาย 4 คน คล้ายนอกเครื่องแบบ “เบลอ” เลขทะเบียนรถ ตามหาคนหนุนม็อบ “3 นิ้ว” ถึงคอนโด “อดีตผู้พิพากษา” ฟาดนัก ปชต.ใจแคบ เผด็จการเสียเอง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (27 มี.ค.) เฟซบุ๊ก Charnvit Kasetsiri ของ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการ “ 3 นิ้ว” โพสต์ข้อความพร้อมภาพถ่ายเป็นหลักฐาน
โดยข้อความระบุว่า “ผมถูก harassment – stalking…
เมื่อวันอังคารที่ 23 มีนาฯ ที่ผ่านมา
มีชาย 4 คน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ ฯ นอกเครื่องแบบ ตัดผมสั้น ใส่เสื้อยืดคอกลม
ขับรถปิ๊กอัพ ที่ป้ายถูกปกปิด “เบลอ” เป็นสีขาว มองไม่เห็นเลขทะเบียน
เข้ามาที่คอนโดบ้านพักของผม
สองคนลงจากรถ เข้ามาถามหาผม
แล้วขึ้นลิฟต์ไปจนถึงหน้าห้อง เคาะประตู
เมื่อรู้ว่าผมไม่อยู่ ก็จัดการถ่ายรูปหน้าห้อง แล้วกลับออกไป
ผมได้รับบอกเล่าในภายหลังว่า
พวกเขาติดตามหาคนหลายคนที่ “ไปเกี่ยวข้องกับม็อบเด็ก ๆ” ครับ
ผมได้ปรึกษากับนักกฎหมายบางท่าน
และได้รับการชี้แจงว่า
การกระทำนี้ คือรูปแบบหนึ่งของการคุกคาม หรือ harassment – stalking
อาจเข้าข่ายความผิด ฐานพยายามกระทำผิดต่อเสรีภาพ
ตามประมวลอาญา ม. 309 และ 80”
อย่างไรก็ตาม การอ้างถูกคุกคาม ของบุคคลที่มีพฤติกรรมต่อต้านสถาบันฯ เคยมีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า จริงหรือไม่?
อย่าง เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 63 เฟซบุ๊ก Jom Petchpradab ของ นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “จะบอกว่า กูไม่กลัวมึง”
โดยระบุว่า พูดไม่ได้เต็มปากแล้วละครับว่า การลี้ภัยอยู่ในประเทศที่เจริญ หรือเป็นประชาธิปไตยแล้ว จะไม่ถูกคุกคามจากเผด็จการราชานิยมไทย
นี่เป็นครั้งแรก ที่มีการส่งคนมาติดตามผมตลอดทั้งวัน เพื่อถ่ายภาพว่าผมทำอะไรขณะอยู่ที่บ้าน บ้านพักอยู่ตรงไหน ขับรถยี่ห้ออะไร เดินทางออกไปพบปะกับใคร สถานที่ที่ไปอยู่ตรงไหน ใครเป็นเจ้าของสถานที่ เคยทำงานอยู่ตรงไหน แม้จะต้องนั่งเฝ้าดักรอเพื่อถ่ายภาพอยู่ตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำจนผมขับรถกลับบ้าน ก็ถ่ายภาพทั้งหมดไว้
แล้วส่งกลับไทย ให้ทางทีมที่เมืองไทย ส่งกลับมาขู่ผมพร้อมกับคำพูดที่ว่า “แน่จริง จับให้ได้สิ” (Catch me if you can ) เพื่อบอกว่า คุณอยู่ในสายตาของเราตลอดเวลานะ ระวังตัวเอาไว้...
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ลี้ภัยคดี ม.112 ในญี่ปุ่น โพสต์ข้อความ ทำนอง คนในขบวน “ล้มเจ้า” บางคนก็โหนกระแสถูกคุกคาม เพราะสันดานชอบโกหกอยู่แล้ว
โดยระบุว่า “แอนดรูว์ มาร์แชล โกหกเรื่องที่ตัวเองถูกสะกดรอยวันที่ 3 สิงหาคม คนอย่างแอนดรูว์ ถ้าคิดว่าถูกสะกดรอย เค้าต้องรีบเขียนแจ้งบนเฟซบุ๊ก เค้าไม่ใช่คนดองเรื่อง อย่างรีบเขียนเรื่องการตายของจุมพลทั้งๆ ที่เค้าไม่ตาย นี่เล่าเป็นตุเป็นตะว่า มีคนตาม 2-3 วัน แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย
และดิชั้นเชื่อว่า ทางการไทยไม่คิดทำอะไรอุกอาจแบบนั้น เพราะเค้าไม่ใช่คนไทย ส่วนที่บอกว่า มีคนส่งกล่องมาที่หน้าประตู ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บอกว่า เป็นกล่องที่ส่งมาถึงเค้า เราไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในกล่อง ไม่มีรูปที่พิสูจน์ว่ามีคนมาวางกล่องหน้าบ้าน เป็นไปได้หรอที่แอนดูว์ไม่ติดกล้องหน้าบ้านถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นเหยื่อ...
ขณะเดียวกัน วันนี้ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ระบุว่า “เขียนไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว”
..... เรื่องของความคิดความเห็นนั้น คนที่เป็นบุตรร่วมบิดามารดาเดียวกัน ได้รับการอบรมเลี้ยงดูเหมือนกันยังมีความคิดความเห็นไม่เหมือนกันในบางเรื่อง
.....ดังนั้น คนที่ต่างบิดาต่างมารดา ได้รับการเลี้ยงดูการอบรมสั่งสอนต่างกันและมาจากสังคมที่มีสิ่งแวดล้อมต่างกัน จะให้มีความคิดความเห็นเหมือนกันทุกเรื่องย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
.....ถ้าให้ทุกคนมีความคิดเห็นเหมือนกัน รักชอบเหมือนกัน เกลียดชังเหมือนกัน เพียงเรื่องผู้ชายรักชอบผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตา คุณสมบัติต่างๆ เหมือนกัน หรือกลับกันผู้หญิงก็รักชอบผู้ชายที่มีนิสัยใจคอ ฐานะทางเศรษฐกิจเหมือนกัน ลองคิดดูเถอะว่าสังคมจะวุ่นวายขนาดไหนและจะอยู่กันได้อย่างไร
.....การมีความคิดความเห็นต่างกันในเรื่องต่างๆ รวมทั้งเรื่องศาสนาและความคิดเห็นทางการเมือง จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา
.....ผู้ที่เรียกตัวเองว่า เป็นนักประชาธิปไตย ต้องยอมรับความคิดเห็นที่ต่างกันให้ได้ ถ้ายอมรับความคิดเห็นต่างของคนอื่นไม่ได้ ใครเห็นต่างก็ด่าว่าเขาอย่างหยาบคายเฉกเช่นผู้ไร้การศึกษาและไม่เคยผ่านการอบรมสั่งสอนมาเลย เช่นนี้ น่าจะไม่ใช่ผู้ที่มีความคิดแบบนักประชาธิปไตยที่แท้จริง
.....แต่เป็นผู้มีความคิดเผด็จการซ่อนรูป ?(จากไทยโพสต์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ เรื่องที่ “ชาญวิทย์” อ้างว่า ถูกชาย 4 คนคล้ายเจ้าหน้าที่ฯนอกเครื่องแบบ คุกคามถึงคอนโด แถมมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานด้วย
เรื่องนี้ในมุมของความผิดตามกฎหมาย ก็คงต้องว่ากันตามกฎหมายที่มีบทบัญญัติเอาไว้ แต่ประเด็นที่น่าตั้งคำถามตามมาก็คือ ใครคุกคาม? ด้วยเหตุผลอะไร
ที่น่าวิเคราะห์ก็คือ สถานการณ์ของ “ม็อบ 3 นิ้ว” ไม่มีกระแสอะไรที่กดดันจนฝ่ายอำนาจรัฐจะต้อง คุกคามคนที่สนับสนุนม็อบ 3 นิ้ว ซึ่งถ้าจะคุกคาม ก็คงทำไปนานแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่ม็อบ 3 นิ้วยังมีกระแสมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีพฤติกรรมก่อความรุนแรงอยู่นานนับเดือนเห็นจะได้
อีกอย่างสาธารณชนต่างก็รู้กันดีมาตลอดว่า “ชาญวิทย์” แสดงความคิดเห็นเอียงข้างม็อบ 3 นิ้ว อย่างแจ้งชัด จนถูกโยงว่า อยู่เบื้องหลังหรือไม่ด้วยซ้ำ
หรือว่า ด้วยเหตุที่ไม่มีกระแสนี่เอง จึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น โดยเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบช่วยสร้างกระแสให้อย่างดี และดูไม่ค่อยฉลาดนัก?
ยิ่งกว่านั้น ยังทิ้งหลักฐานเอาไว้มากมาย จนดูไม่น่าเป็นตำรวจ?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เป็นหน้าที่ของตำรวจ หากมีการแจ้งความดำเนินคดี ที่จะต้องสืบสวนสอบสวนเอาผิดให้ได้ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ให้รู้ว่า ชาย 4 คนเป็นใคร ทำไมต้องคุกคาม “ชาญวิทย์” อย่างไม่ค่อยฉลาด
กระนั้น เมื่อย้อนกรณีของ “จอม” และแอนดรูว์ สิ่งหนึ่งที่น่าคิด ก็คือ แม้แต่ฝ่ายเดียวกันก็ไม่เชื่อว่า เป็นเรื่องจริง ส่วนใหญ่จะมองว่า สร้างเรื่อง โหนกระแส สร้างค่าสร้างราคาให้กับตัวเอง หรือขบวนการ หรือไม่?
เพื่อต้องการทำให้เห็นความเป็น “ผู้ร้าย” ตลอดกาลของ คนที่ตัวเองต่อต้าน แม้แต่ไม่มีกระแสอะไรกดดันเลยก็ตาม น่าคิดมั้ยล่ะ?