“อัษฎางค์” นักประวัติศาสตร์ สอน “วิโรจน์” ปมสนามหลวง ไม่ใช่สวนสาธารณะ แต่เป็น “โบราณสถาน” มีกฎหมายคุ้มครอง แถมโทษหนัก ย้อน “ม็อบ 19 ก.ย. 63” “ธนาธร” ร่วมประกาศชัยชนะ “ทวงคืนสนามราษฎร์”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (25 มี.ค.) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ระบุว่า
“ไม่มีวัวปน
“สนามหลวง ไม่ใช่สวนสาธารณะ แต่เป็นโบราณสถาน”
24 มีนาคม 2565 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล เรียกร้องว่า
“การมีรั้วมากั้นบริเวณท้องสนามหลวงนั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการทำลายทัศนียภาพ ทำลายเสน่ห์ และการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จะได้ใช้พื้นที่”
นายวิโรจน์ ยังกล่าวต่อว่า
“ทำไมไม่มีโต๊ะม้าหิน แท่นน้ำดื่ม มีแค่รถสุขา จะจัดสุขาให้เป็นสัดส่วนได้หรือไม่ เสน่ห์คนที่มาเล่นหมากรุก เปิดสภากาแฟ หรือแม้แต่เปิดเวทีไฮด์ปาร์ก จัดกิจกรรมทางการเมือง พูดประเด็นการเมืองและสังคม มันหายไปหมด ทั้งนี้อย่าอ้าง พ.ร.บ.โบราณสถานมั่วๆ”
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร จากพรรคก้าวไกล ที่อาสามาบริหารจัดการเมืองกรุง แต่ดันไม่เข้าใจและแยกแยะเรื่องเล็กๆ แค่นี้ไม่ออกว่า สวนสาธารณะและโบราณสถาน มีการใช้ประโยชน์ต่างกันอย่างไร แล้วปัญหาใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ ที่มีมากมายจะเข้าใจและมีปัญญาอะไรไปดูแล, แก้ไข และบริหารจัดการ
ผมถือโอกาสสอนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ ให้กับ “ว่า” ที่ผู้สมัครผู้ “ว่า” ฯ ที่สมควรโดน “ว่า” เนื่องจาก “ว่า” ไม่เข้าใจเรื่องเล็กๆ แบบนี้
………………………………………………………………….
อ่านช้าๆ ดีๆ น่ะวิโรจน์น่ะ อ่านให้เกิน 8 บรรทัด แล้วกลับไปหาปี๊บคลุมหัวไว้ตอนหาเสียงในวันต่อๆ ไป
สวนสาธารณะ หมายถึง บริเวณสาธารณะที่ภาครัฐ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นหน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จัดให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจแก่ประชาชนตามชุมชนและเมืองต่าง ๆ โดยรัฐเป็นเจ้าของและเป็นผู้ดูแลรักษา
สิ่งที่ นายวิโรจน์ แหกปากเรียกร้องว่า “ให้คนมาเล่นหมากรุก เปิดสภากาแฟ เปิดเวทีไฮด์ปาร์ก จัดกิจกรรมทางการเมือง พูดประเด็นการเมืองและสังคม” นั้น มันต้องเป็นสวนสาธารณะ ไม่ใช่โบราณสถาน ฮ่วย!!
………………………………………………………………….
ทีนี้ตามมาดูว่าโบราณสถานมีลักษณะอย่างไร ต่างจากสวนสาธารณะอย่างไร!
พระราชบัญญัติโบราณสถานฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535
มาตรา 4 ระบุว่า
“โบราณสถาน” หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการก่อสร้าง หรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นประโยชน์ในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี ทั้งนี้ ให้รวมถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ และอุทยานประวัติศาสตร์ด้วย
ทั้งนี้ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียน “สนามหลวง” สนามขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ระหว่างพระบรมมหาราชวัง กับ พระราชวังบวรสถานมงคล เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีพื้นที่ 74 ไร่ 63 วา เป็นโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2520
ดังนั้น ถ้า นายวิโรจน์ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ จากพรรคก้าวไกล อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังไม่เข้าใจ ก็ไปลาออกจากการเป็นว่าที่ผู้ว่าฯ เสีย มันขายหน้าตัวเองและพรรค ที่บอกกับคนไทยว่าจะมาเปลี่ยนประเทศและสังคม
จะเอาปัญญาอะไรไปเปลี่ยนประเทศและสังคม หรือแก้ปัญหา กทม. ในเมื่อ คำแค่สองคำ ยังไม่เข้าใจ แล้วกรุงเทพฯ มีแต่ปัญหาใหญ่ๆ จะเอาปัญญาที่ไหนไปแก้ นอกจากแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ
………………………………………………………………….
แล้วถ้า...วิโรจน์ ยังอยากจะให้คนมาเล่นหมากรุก เปิดสภากาแฟ เปิดเวทีไฮด์ปาร์ก จัดกิจกรรมทางการเมือง ก็อ่านบทลงโทษผู้ที่คิดจะฝ่าฝืนหรือบุกรุก เข้าไปในสนามหลวง ซึ่งเป็นโบราณสถานเสียด้วย
พระราชบัญญัติโบราณสถานคุ้มครอง ได้กำหนดโทษผู้ใดฝ่าฝืนหรือบุกรุก ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ดังต่อไปนี้ (ขอยกตัวอย่างพอสังเขป)
“มาตรา 32 ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่าหรือทําให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ
ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทําต่อโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว ผู้กระทําต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหน่ึงล้านบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ฮ่วย!!! นี่อ่ะน่ะ ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพฯ จากพรรคก้าวไกล นี่ยังไม่ก้าวไปไหนไกลก็ตกท่อ กทม.ซะแล้ว
………………………………………………………………….
กรงเทพฯ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย และใหญ่ระดับต้นๆ ของโลก และด้วยความเป็นเมืองใหญ่ระดับโลกนี้ ทำให้มีปัญหาร้อยแปดพันเก้า แต่...ก้าวแรกของว่าที่ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล ก็ก้าวไม่ไปไหนไกลแล้ว
รู้สึกอายบ้างมั้ย ถามจริงๆ
สนามหลวงเป็นสมบัติของชาติ ชาติเป็นของประชาชน แล้วจะทวงคืนสนามหลวงจากใคร? ไปให้ใคร?
อย่างไรก็ตาม ที่น่าย้อนให้เห็นก็คือ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 63 เมื่อเวลา 19.20 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ลงพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม บริเวณท้องสนามหลวง
โดยเฟซบุ๊ก “คณะก้าวหน้า-Progressive Movement” โพสต์วิดีโอคลิป ระบุว่า “ชีวิตที่กลับคืนมาใหม่ของสนามราษฎร์ ...ชัยชนะแรกของวันนี้ คือการทวงคืนสนามหลวง และเปลี่ยนให้เป็นสนามราษฎร์ ธนาธร พาเดินสำรวจชีวิตที่กลับคืนมาใหม่ของสนามราษฎร์” (ผู้จัดการออนไลน์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ วาระทวงคืนสนามหลวงมาเป็น “สนามราษฎร์” หรือ ที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของพรรคก้าวไกล ลูกน้องเก่านายธนาธร อยากทวงคืนมาเป็นกิจกรรมของประชาชน คล้ายสวนสาธารณะ ก็ไม่ต่างกัน
และอาจเป็นความต่อเนื่อง ที่คณะก้าวหน้า ซึ่งมี นายธนาธร เป็นประธาน และมีอิทธิพลทางความคิดต่อพรรคก้าวไกล ต้องการผลักดันเรื่องนี้ผ่านนายวิโรจน์ ซึ่งสมัครผู้ว่า กทม.ในสังกัดพรรคก้าวไกล อันถือเป็นยุทธศาสตร์ของคณะก้าวหน้าอยู่แล้ว ที่ต้องการอยู่ตรงข้ามกับคำว่า “หลวง” โดยยกคำว่า “ราษฎร์” มาต่อสู้
อย่างที่รับรู้กันมาตลอด ว่า คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล (อดีตพรรคอนาคตใหม่) สนับสนุนการต่อสู้ของม็อบสามนิ้ว รวมทั้งใช้เวทีสภา ในการนำเอาประเด็นของม็อบสามนิ้วไปขยายผลทางการเมืองหลายครั้ง จึงคล้ายว่า มีวาระร่วมกัน และทำงานสอดรับกัน
ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่วาระของม็อบสามนิ้วและนายธนาธร ในการทวงคืนสนามหลวงมาเป็น “สนามราษฎร์” จะกลายมาเป็นวาระหาเสียงผู้ว่าฯ กทม.ของนายวิโรจน์ ทั้งยังไม่สนใจกฎหมายคุ้มครองโบราณสถานอีกต่างหาก
แล้วก็ไม่แปลกเช่นกัน เพราะดูเหมือนคณะก้าวหน้า และ พรรคก้าวไกล มักไม่สนใจว่าผิดกฎหมายหรือไม่อยู่แล้ว ถ้าเป็นประเด็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ของพวกเขา อย่างที่เห็นมาตลอด หรือว่าไม่จริง?