วันนี้ (25 มี.ค.)น.ส.ลลิศา ไตรรัตนจรัสพร ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตหลักสี่ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงความพร้อมในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ส.ก.ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ว่า คนกรุงเทพฯว่างเว้นจากการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ ส.ก. มานานกว่า 9 ปี และมีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ 1 ครั้งด้วยคำสั่งคณะรัฐประหาร ทำให้การบริหารจัดการกรุงเทพฯในช่วงที่ผ่านมาไม่มีความยึดโยงกับพี่น้องประชน ดังนั้น ในวันที่ 22 พฤษภาคมที่จะถึงนี้จึงเป็นอีกวันที่คนกรุงเทพฯจะได้เลือกทางเดินไปสู่อนาคตใหม่ของกรุงเทพฯอีกครั้ง
สำหรับพรรคก้าวไกลได้มีมติเห็นชอบส่ง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ โดยมาพร้อมกับ 12 นโยบายหลักที่กำลังจะเปิดตัว เพื่อสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็น ‘เมืองที่คนเท่ากัน’
ซึ่งการที่นายวิโรจน์ ลาออกจากการเป็น ส.ส.ในสภาฯ
ก็เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่อยากจะนำอุดมการณ์และแนวคิดการพัฒนาเมืองมาใช้กับกรุงเทพฯ บ้านเราให้พัฒนากว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะกับกล้าแตะกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริง การไม่เกรงใจนายทุน รวมถึงการทำงานเป็นทีม นี่เป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลมีความโดดเด่น และมีความพร้อมที่จะรับใช้ชาว กทม.ในทุกพื้นที่
โดยเฉพาะชาวหลักสี่นั้น ตนขอย้ำว่า ทุกนโยบายล้วนออกมาจากการที่เราได้ลงพื้นที่สัมผัสกับปัญหา ตนจึงอยากจะผลักดันสวัสดิการเสมอหน้าของคนทุกชนชั้นในสังคม ปราบปรามส่วยกรุงเทพฯ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการงบประมาณได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ปกป้องผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯ จากการเอารัดเอาเปรียบโดยนายทุน แก้ปัญหาทางเท้าและปัญหาอุบัติเหตุบนทางม้าลาย แก้ปัญหาการขุดเจาะถนนของหน่วยงานราชการที่ไม่มีการประสานงานหรือทำงานร่วมกัน แก้ปัญหาขยะ ขุดลอกคูคลอง บูรณาการหน่วยงานด้านสาธารณสุขเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างถ้วนหน้าและครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุและเด็ก รวมทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนได้เข้ามาใช้งานเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ หรือแม้กระทั่งสนามหลวงเองก็ต้องเปิดให้ประชาชนได้ใช้งานอย่างเต็มที่และต้องไม่มีการล้อมรั้วใดๆทั้งสิ้น
น.ส.ลลิศา กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาโพลหลายสำนักระบุตรงกันว่าคะแนนนิยมของนายวิโรจน์ และผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่เราทำงานอย่างหนัก มีการลงพื้นที่รับฟังปัญหาอย่างต่อเนื่อง และคาดว่ามาจากแนวนโยบายและความยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย สิ่งนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับโอกาสเข้ามาทำงานให้คนกรุงเทพฯ ในอนาคตอันใกล้นี้
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้พรรคก้าวไกลเชื่อว่าคะแนนนิยมของพรรคดีขึ้นต่อเนื่อง คือผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขตจตุจักร-หลักสี่ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับที่ 2 ด้วยคะแนนกว่า 20,361 คะแนน คิดเป็นอัตราส่วนที่สูงขึ้นกว่าผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 รวมทั้งชนะในหน่วยเลือกตั้งที่อยู่ในเขตพื้นที่ของทหาร ซึ่งทำให้ยิ่งตอกย้ำความไว้วางใจและเปิดใจให้กับพรรคก้าวไกลมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ในการการเลือกตั้งท้องถิ่น (อบต.) ทั่วประเทศเมื่อปี 2564 คณะก้าวหน้าได้ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเลือกตั้งเข้ามาจำนวนกว่า 38 อบต.ด้วยนโยบายที่มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง รายได้ของประชาชน เรื่องเศรษฐกิจ นโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม นโยบายเรื่องน้ำท่วม ภาวะน้ำแล้ง เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับสภาพปัญหา และโดนใจประชาชน โดยเฉพาะโครงการน้ำประปาดื่มได้ น้ำใสใน 99 วันของเทศบาลตำบลอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด หรือ ‘อาจสามารถโมเดล’ ที่คณะก้าวหน้าส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำเข้าไปจัดการตั้งแต่ต้นทางการผลิตน้ำประปาในโรงผลิต เก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ปรับปรุงคุณภาพน้ำ ยกระดับมาตรฐานการผลิต ไปจนถึงปรับปรุงระบบการส่งน้ำ รวมทั้งการพัฒนาแอปพลิเคชันฟองดู (Fondue) แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับรับเรื่องร้องเรียนและติดต่อเจ้าหน้าที่เทศบาล ช่วยลดระยะเวลาการรับเรื่อง และย่นระยะเวลาในการแก้ปัญหาให้ประชาชนด้วย
“พี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้พบปะพูดคุยกัน ก็ทราบถึงความตั้งใจจริงของพวกเรา และตอบรับด้วยการชื่นชมในนโยบายที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกกลุ่มให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ รวมทั้งชื่นชอบในความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯในทุกมิติให้ดีกว่าเดิม ยิ่งทำให้มั่นใจว่าคงได้มีโอกาสเข้ามาทำงานเพื่อตอบสนองต่อเจตนารมย์ของพี่น้องประชาชนตามที่ทุกท่านที่ได้ฝากฝังอนาคตของกรุงเทพฯไว้กับพรรคก้าวไกล เพื่อให้กรุงเทพฯของเรากลายเป็นเมืองที่น่าอยู่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ดี และที่สำคัญ น่าอยู่ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าและเสมอหน้ากันของคนกรุงเทพฯ ทุกคน เพราะเรากล้าชนเพื่อคนกรุงเทพฯ จริงๆ “น.ส. ลลิศา กล่าว