อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ฟาดยับการแจกกล้วย ส.ส.ยุคนี้ ไม่ต่างอะไรกับ ส.ส.โสเภณีในอดีตทำการเมืองไทยถอยหลังเข้าคลองไปอีก 50 ปี
วันนี้ (18 มี.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ข้อความว่า ผมเห็นบรรยากาศการจัดเลี้ยงอาหารมื้อค่ำ ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับกลุ่ม ส.ส.พรรคเล็ก ที่สโมสรราชพฤกษ์แล้ว สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า พลเอก ประยุทธ์ ได้กลายเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว ทำให้ย้อนถึงบรรยากาศการเมืองในยุคการเลือกตั้งปี 2512 ของ จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่ง ส.ส.ในยุคนั้นรัฐธรรมนูญ ปี 2511 บัญญัติให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค ซึ่งไม่ต่างอะไรกับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่มี ส.ส.ปัดเศษ ทำให้เกิดสภาพ ส.ส.พรรคเล็กจำนวนมาก ที่มีอำนาจการต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาลสูงมาก จนทำให้คนระดับนายกรัฐมนตรี จะต้องแคร์ความรู้สึก และเอาใจกลุ่มพรรคเล็กกลุ่มนี้ และมีการตั้งเงื่อนไขต่อรอง เรียกร้องการดูแลเป็นพิเศษ ทำให้การเมืองไทยถอยหลังเข้าคลองไปอีก 50 ปี
ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าใน พ.ศ. นี้ เรายังได้เห็นบรรยากาศการแจกล้วยให้กับ ส.ส. หรือ ส.ส.กินกล้วย ไม่ต่างอะไรกับ ส.ส.โสเภณีในยุคปี 2512 เพียงแต่มีการเปลี่ยนถ้อยคำเป็น ลิงกินกล้วย ให้ฟังแล้วดูดีกว่า ส.ส.โสเภณีขายตัวในอดีต
ต้องยอมรับความจริงกันว่า การเมืองไทยยังก้าวไม่พ้นวงจรอุบาทว์เดิมๆ ที่มีการแย่งกันซื้อตัว ส.ส. พวก ส.ส.ก็นำเงินไปซื้อเสียงจากประชาชน เมื่อเข้ามาเป็น ส.ส.ในสภาแล้ว ยังถูกพรรคการเมืองตกปลาในบ่อ ซื้อตัว ส.ส.อีกครั้ง หรือทำตัวเป็นงูเห่า ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการทุ่มเงินในสนามเลือกตั้ง ซึ่งไม่มั่นใจว่าจะได้รับการเลือกตั้งหรือไม่ แต่การซื้อตัว ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งแล้ว แม้ว่าจะเป็นราคาที่สูงหลัก 30 ถึง 50 ล้านบาทก็ตาม แต่ก็มีหลักประกันว่า ได้ตัว ส.ส.อย่างแน่นอน
ผมรู้สึกปวดใจและอนาถใจกับการเมืองยุคนี้ ที่มีการพร่ำพูดกันอยู่ตลอดว่า เป็นการเมืองยุคปฏิรูป ซึ่งแท้จริงแล้วคือ การปฏิรูปถอยหลังเข้าคลองไปอีก 50 ปีมากกว่า การที่กลุ่ม ส.ส.พรรคเล็ก ขอร้องไม่ให้พลเอกประยุทธ์ รีบยุบสภานั้น ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของพวกที่เป็น ส.ส. เพราะเป็นโอกาสทองของพวกเขา การยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่า จะได้กลับเข้ามาเป็น ส.ส.อีก จึงพยายามคงสถานะความเป็น ส.ส.ให้ยาวนานที่สุด ดั่งสุภาษิตโบราณที่ว่า “น้ำขึ้นให้รีบตัก” หรือ “อย่าหวังน้ำบ่อหน้า”