เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้พรรคการเมืองที่เรียกว่า “เลือดไหล” ออกมาจนน่าจับตามากกว่าใคร ก็น่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ นี่แหละ แม้ว่าก่อนหน้านี้ เกิดความแตกแยกขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ จนแตกตัวออกมาของกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จนยกขบวนออกมาสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย
แต่นั่นก็อาจมีลักษณะพิเศษที่ดูแล้วยังอยู่ภายใต้การควบคุมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรค เสียเป็นส่วนใหญ่ และยังมีภาพที่แสดงให้เห็นว่า มีการส่งคนใกล้ชิดไปดูแลพรรคดังกล่าว นั่นคือ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ลาออกจากประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ และตามรายงานข่าวบอกว่า จะมานั่งเป็น หัวหน้าพรรค ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสภาพของพรรคพลังประชารัฐ หลัง ร.อ.ธรรมนัส แยกออกไปทุกอย่างก็เริ่มนิ่งกว่าเดิม
มิหนำซ้ำ ยังมี “นายทุน” เข้ามาเสริมอีก และนายทุนที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ใคร แต่ “ไหลออก” มาจากพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง ซึ่งเวลานี้ชัดเจนแล้วว่า นายอภิชัย เตชะอุบล หรือ “เสี่ยโต” ได้ลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ และสมาชิกพรรค แล้วย้ายมาสังกัดพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยมีการระบุว่า เขาจะเข้ามามีบทบาทในการดูแลกลุ่มผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ของพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งที่จะกำลังจะมาถึงในเดือนพฤษภาคมนี้
การลาออกของ นายอภิชัย หรือ “เสี่ยโต” ในครั้งนี้ ถือว่าน่าสนใจพอสมควร เพราะแม้ว่ารับรู้กันว่าเขาไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมกับพรรคประชาธิปัตย์มานานแล้ว แต่การออกมาในช่วงเวลาแบบนี้มันก็ยิ่งตอกย้ำภาพ “เลือดไหลไม่หยุด” ซ้ำเติมเข้ามาอีก
และหากไม่นับรุ่น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ลาออกแล้วมาร่วมงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นทั้งมือกฎหมาย และได้รับมอบภารกิจสำคัญหลายอย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ที่ไปตั้งพรรคไทยภักดี รวมไปถึง นายกรณ์ จาติกวณิช ที่ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ มาตั้งพรรคกล้า และ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ออกมาร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย เป็นต้น
โดยพวกเขา ลาออกมาหลังจากมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่ หลังการลาออกของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเกิดขึ้นหลังมีการเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารพรรคชุดใหม่ ที่นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นเลขาธิการพรรค
ในช่วงระยะเวลาสองสามวันนี้ นอกจากการลาออกของ นายอภิชัย เตชะอุบล แล้ว ก็ยังมี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ และตามมาด้วย นายไพร พัฒโน อดีต ส.ส.สงขลา และอดีตนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ ที่เพิ่งประกาศลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์
และจากการแถลงของ นายภูมิสรรค์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการคณะกรรมการประสานงานองค์กรเครือข่ายภายนอกพรรค และคณะกรรมการกิจการสาขาตัวแทนจังหวัดและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า
“การเข้าออกจากพรรคของบุคคลต่างๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาทุกยุคสมัย เพราะอุดมการณ์ ไม่ได้เป็นการบอกกล่าวจากการเรียกร้องหรือคำพูด เเต่เป็นการพิสูจน์ใจเเละตัวตนของเเต่ละบุคคลอย่างเป็นที่ประจักษ์ เช่น นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช นายนราพัฒน์ แก้วทอง หรือเลือดใหม่อย่าง นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายเมธี อรุณ (เมธี ลาบานูน) ดร.ดนุวัศ สาคริก นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รวมทั้งตนเองที่อยู่กับบ้านหลังนี้มาตลอด 25 ปี ในหลากหลายบทบาทหน้าที่” นายภูมิสรรค์ กล่าว
พร้อมทั้งยังเร่งเร้าอีกว่า อยากเรียนด้วยความเคารพถึงอีกหลายบุคคลที่กำลังจะออกไปให้เร่งตัดสินใจ เพื่อเห็นเเก่ส่วนรวม เห็นเเก่พรรค ที่อย่างน้อยเคยเป็นบ้านหลังหนึ่ง หรือเเค่ที่อยู่อาศัยชั่วคราวในการวางแผนอนาคตร่วมกับพรรค เพื่อให้เตรียมการวางตัวเลือดเเท้และเลือดใหม่ได้ อันจะนำไปสู่การวางรากฐานอนาคตอย่างยั่งยืนในยุคเลือดเเท้ เลือดใหม่ผสมเลือดเก่าไหลกลับของ ทีมกัปตันจุรินทร์อเวนเจอร์ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายและจุดหมายที่สมบูรณ์ของการเป็นสถาบันทางการเมืองของประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อไป
แน่นอนว่า เมื่อฟังจากคำพูดแบบนี้ ก็ถือว่า “แรง” ไม่เบา จะเป็นเพราะพูดเพื่อต้องการเอาใจผู้บริหารใหม่ แต่การระบุแบบนี้มันก็เหมือนกับ “ไล่” ให้ออกไปเร็วๆ ขณะเดียวกัน ก็ยอมรับว่า “ยังมีอีกหลายคน” ที่เตรียมออกไปจากพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่ว่ายังติดเงื่อนไขบางอย่าง รวมไปถึงยังต้องรอจังหวะทางการเมืองหรือเปล่า แต่เอาเป็นว่า “ยังมีไหลออกมากอีกหลายคน” ก็แล้วกัน
ก่อนหน้านี้ ก็มีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องการวางตัวผู้สมัครของพรรคในพื้นที่ภาคใต้ เช่นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช หรือแม้แต่ที่จังหวัดพังงา ในพื้นที่ของ นายจุรินทร์ ที่เป็นหัวหน้าพรรค จนทำให้ นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีความประสงค์จะลงสมัครในพื้นที่จังหวัดดังกล่าวต้องประกาศลดบทบาทในพรรคลงมา
นอกเหนือจากนั้น ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ก็ยังเป็นที่น่าจับตามองถึงความไม่ลงตัว ไม่ลงรอย ระหว่างที่งานชุดเก่ากับชุดใหม่ หลังเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ดูแล ส.ส.ภาคใต้ของ นายเดชอิศม์ ขาวทอง ที่เพิ่งได้รับเลือกเป็นรองหัวหน้าพรรคได้ไม่นาน ที่มีความเคลื่อนไหวในลักษณะเป็น “คลื่นใต้น้ำ” กันอยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่า การย้ายเข้าออกของนักการเมือง และพรรคการเมือง หากมองเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มักเห็นกันอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงใกล้เลือกตั้งแบบนี้ก็จะยิ่งได้เห็นตามมาอีกหลายคนและหลายพรรค แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่เมื่อสำรวจไล่เรียงรายชื่อออกมาแล้วทั้งประเภทระดับ “บิ๊กเนม” รวมไปถึงระดับ “โนเนม” ก็ต้องบอกว่ามีปริมาณที่มาก และถูกจับตาในทางการเมืองและตั้งคำถามว่า “มันเกิดอะไรกันแน่” ซึ่งที่ผ่านมา มีสโลแกนยุคใหม่ของพรรคว่า “คิดไวทำไว” แต่เมื่อได้เห็นเลือดไหลออกมาแบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากคำว่า “คิดไว ไปไว” หรือเปล่า !!