นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ ยืนยันไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนประเด็นด้านการศึกษา และวัฒนธรรม
วันนี้ (10 มี.ค.) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายโจเซฟ แอนโทนี คอตเตอร์ (H.E. Mr. Joseph Anthony Cotter) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสอำลาพ้นจากหน้าที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีชื่นชมบทบาทของเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ ที่ได้ปฏิบัติงานอย่างแข็งขันตลอด 4 ปี โดยได้ผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน รวมถึงด้านการศึกษาและวัฒนธรรม เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไอร์แลนด์ที่ดีต่อกันเสมอมา ซึ่งในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ไอร์แลนด์ พร้อมแสดงความยินดีในโอกาสวันชาติของไอร์แลนด์ (St.Patrick's Day) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2565 โดยทราบว่าปีที่แล้วได้มีการจัดกิจกรรมเปิดไฟสีเขียวที่วัดอรุณฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี และเชื่อมั่นว่า ทั้งสองประเทศจะสานต่อความร่วมมือต่อไปทั้งในระดับทวิภาคี อนุภูมิภาคและภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19
เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งในตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ขอบคุณรัฐบาลไทย และหน่วยที่เกี่ยวข้องที่ให้การต้อนรับและสนับสนุนความร่วมมือที่ดีเสมอมา โดยยืนยันที่จะกระชับความสัมพันธ์ไทย-ไอร์แลนด์ให้ใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อสานต่อความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งด้านการค้าการลงทุนใน EEC ด้านเทคโนโลยี อาหาร และเกษตรแปรรูป เทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ตลอดจนอุปกรณ์การแพทย์ และเวชภัณฑ์ รวมทั้งยินดีผลักดันให้ไทยเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดับลิน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในมิติอื่นๆ ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า ไทยและไอร์แลนด์ยังมีศักยภาพระหว่างกันในอีกหลายมิติ โดยได้หารือในประเด็นความร่วมมือระหว่างกัน ดังนี้
- ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไอร์แลนด์มีศักยภาพด้านดิจิทัล และเป็นแหล่งของบริษัทยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของโลก จึงขอเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยในสาขานี้เพิ่มเติม พร้อมเชิญชวนให้เพิ่มการลงทุนใน EEC ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ อุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีการเกษตร อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมดิจิทัล ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนา เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ซึ่งทางเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ เห็นพ้องว่า จะขยายความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขต EEC ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนชาวไอร์แลนด์ให้ความสนใจและเข้าร่วมลงทุนกับภาคเอกชนของไทย พร้อมยินดีแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและประสบการณ์ รวมทั้งสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-อียู เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันต่อไป
- ด้านการศึกษา ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะให้หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษามีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อดำเนินความร่วมมือทางการศึกษา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ขอบคุณไอร์แลนด์ที่มีความร่วมมือด้านการอุดมศึกษากับไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin: UCD) ไอร์แลนด์ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตั้งแต่ปี 2558 ด้านเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ กล่าวว่า รัฐบาลไอร์แลนด์ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการศึกษาในระบบอาชีวศึกษา ซึ่งยินดีที่จะแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว
- ด้านวัฒนธรรม เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ ยินดีและขอบคุณหน่วยงานไทยที่สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวันชาติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (St. Patrick’s Day) ตามโครงการ Global Greening Programme ด้วยการประดับไฟสีเขียว ซึ่งเป็นสีประจำชาติของไอร์แลนด์ ณ วัดอรุณฯ เมื่อปีที่ผ่านมา และในปีนี้จะมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวันชาติ อีกครั้งที่จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดเชียงใหม่