สวนดุสิตโพล สำรวจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนใหญ่พบเห็นจากสื่อ มองเป็นภัยภัยสังคมอย่างมาก ชี้ ระบาดหนักเพราะหลอกวิธีทันสมัยไม่แสดงตัวตน จี้ ตร.จัดการต้นตอกวาดล้างสิ้นซาก สตช.เร่งแก้ไข
วันนี้ (27 ก.พ.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สรุปผลการสำรวจ : “มิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ภัยสังคม ณ วันนี้ สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,221 คน ระหว่างวันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ 2565 พบว่า การพบเจอมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนใหญ่พบเห็นจากข่าวทางสื่อต่างๆ ร้อยละ 40.19 รองลงมาคือ ญาติพี่น้อง/คนรู้จักเคยพบ ร้อยละ 32.87 เคยพบด้วยตนเอง ร้อยละ 21.02 ไม่เคยพบ ร้อยละ 5.92 โดยคิดว่าเป็นภัยต่อสังคมอย่างมาก ร้อยละ 86.90 สาเหตุที่ระบาดหนักและแก้ไขยาก คือ มีวิธีการหลอกลวงที่ทันสมัย ไม่ต้องแสดงตัวตน ร้อยละ 76.09 รองลงมาคือ มีเครือข่ายรายใหญ่ข้ามชาติ ร้อยละ 69.04 วิธีป้องกันแก้ไขปัญหา คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องจัดการกับต้นตอ กวาดล้างให้สิ้นซาก ร้อยละ 84.58 รองลงมาคือ ประชาชนต้องมีสติ ไม่หลงเชื่อ ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว ร้อยละ 82.36 โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยด่วน ร้อยละ 80.88 รองลงมาคือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร้อยละ 73.79
นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
เผย จากผลโพลจะเห็นได้ว่าประชาชนมีประสบการณ์พบเจอมิจฉาชีพโทรศัพท์เข้ามาหลอกหลวง ทั้งการพบเจอด้วยตนเองและคนรอบตัวพบเจอ และปัญหานี้ก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นภัยสังคมที่มีมานานกว่า 10 ปี แต่กลับไม่สามารถแก้ไขได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังขยายวงกว้างและมีวิธีการหลอกลวงใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย ประชาชนจึงหวังพึ่งตำรวจให้จับกุม ทลายแก๊งเครือข่ายและผู้อยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงทางดีอีเอสเองก็ควรเร่งทำงานสร้างผลงานให้เห็น ไม่เช่นนั้นนับวันประชาชน ก็ต้องตกเป็นเหยื่อมากขึ้น
ดร.ศีลสุภา วรรณสุทธิ์ ประธานหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการบริการลูกค้า คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่ภัยสังคม แต่มิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นคอลเซ็นเตอร์ คือ ภัยสังคมที่น่ากลัว คอลเซ็นเตอร์ คือภาพลักษณ์และกุญแจสำคัญในการพัฒนาองค์การสู่เป้าหมาย มิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นคอลเซ็นเตอร์มาใน 3 รูปแบบหลัก คือ 1) ทวงหนี้นอกระบบ 2) หลอกว่าเป็นบริษัทประกัน และ 3) หลอกว่าเกี่ยวข้องกับคดีต่างๆ ประชาชนต้องตั้งสติ ตระหนักรู้ถึงรูปแบบการทุจริตเมื่อโทร.เข้าด้วยวิธีต่างๆ เช่น ผู้โทร.พยายามสร้างสายสัมพันธ์ ผู้โทร.ไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับธุรกิจนั้นๆ ได้ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 กฎหมาย PDPA Personal Data Protection Act 2562 หรือ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนตัว พ.ศ. 2562 จะมีผลบังคับใช้ในประเทศไทย เจ้าของข้อมูลควรรู้สิทธิในข้อมูลส่วนตัว ของตน องค์การต้องทราบขอบเขตในการนำเสนอข้อมูลรวมถึงความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องมีแผนการประชาสัมพันธ์กฎหมายฉบับนี้ให้ทั่วถึงคนไทยทุกคน