นายกฯ เปิด “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1” วอนทุกคนปรับตัวเพิ่มขีดความสามารถตัวเอง บอกทั่วโลกเจอปัญหาโควิดเหมือนกัน แขวะคนชอบพูด ถ้าง่ายอย่างนั้นคงทำไปนานแล้ว คงไม่มีหนีคดีติดคุก ยัวะสื่อ ชอบฟาดหัว “โว” ถามกลับขี้โม้ ไม่มีสื่อประเภทใดไม่ให้เกียรติผู้นำขนาดนี้
วันนี้ (25 ก.พ.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องภิรัชฮอลล์ 1-3 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เขตบางนา กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน ครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล” โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง นางทัศนีย์ เปาอินทร์ อธิบดีกรมบังคับคดี นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้บริหาร และประชาชนเข้าร่วมงาน
นายสมศักดิ์ กล่าวรายงานว่า จากที่รัฐบาลประกาศให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ นายกรัฐมนตรีให้ 8 แนวทางในการช่วยเหลือประชาชน แต่มี 4 หัวข้อ ที่กระทรวงยุติธรรม ช่วยเหลือได้ทันที คือ 1. การแก้ปัญหาหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. 2. การแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล 3. แก้ปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์ (ลิสซิ่ง) และ 4. ปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม อำนวยความสะดวกการไกล่เกลี่ย ทำให้กระทรวงยุติธรรม เร่งดำเนินการ ทั้งนี้ ที่เลือกกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นที่จัดงานครั้งแรก เพราะเป็นพื้นที่มีลูกหนี้มากถึง 95,850 ราย รวมมูลค่า 10,576 ล้านบาท แบ่งเป็นผู้เป็นหนี้ก่อนฟ้อง 48,590 ราย มูลค่า 4,186 ล้านบาท ประกอบด้วย หนี้สินเชื่อบัตรเครดิต 24,370 ราย สินเชื่อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ 3,924 ราย ลูกหนี้ กยศ. 20,296 ราย ส่วนของบังคับคดี มีส่วนที่มีคำพิพากษาแล้ว 47,260 ราย มูลค่า 6,390 ล้านบาท บุคลลที่เข้ามาร่วมงานจะได้สิทธิประโยชน์ชั้นก่อนฟ้อง คือ ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ ลดเบี้ยปรับ ลดดอกเบี้ย ลดค่างวดรายเดือน งดฟ้องดำเนินคดี และรับเงื่อนไขปลดผู้ค้ำประกัน ในส่วนของชั้นบังคับคดี จะได้รับสิทธิคือขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ ลดเบี้ยปรับ ลดจำนวนเงินผ่อนชำระหนี้ งดยึดทรัพย์ งดขายทอดตลาด ลูกหนี้จะไม่ถูกบังคับคดี และยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ
จากนั้น นายกฯมอบโล่รางวัลให้ศูนย์ไกล่เกลี่ย 9 หน่วยงาน และมอบโล่เชิดชูเกียรติ ผู้ส่งเสริม สนับสนุนและขับเคลื่อนงานไกล่เกลี่ยข้อพิพาทกระทรวงยุติธรรม 6 ราย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง แต่วันนี้ เจอสถานการณ์ โควิด-19 แม้ว่าไม่มีสถานะการโควิด รัฐบาลก็ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศเดียวในโลกที่พบปัญหานี้ ขอให้มองทั้งภายในและภายนอก ว่าโลกเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากมองมาทางประเทศไทยประเทศเดียว ก็เยอะไปหมด ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน โดยปีนีรัฐบาลประกาศให้มีการแก้ไขปัญหาความยากจน โลกเปลี่ยนเราต้องปรับตัว ตนไม่สามารถจะไปช่วยเหลืออะไรหลายอย่างได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน วันนี้พร้อมหรือยังที่จะเพิ่มศักยภาพ พัฒนาตัวเอง ไม่เลือกงาน ประเทศไทยมีอะไรให้ทำอีกเยอะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา ตนพร้อมรับฟังความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง กฎหมายมีอยู่แล้ว ต้องทำต้องทำภายใต้กฎหมายที่มีอยู่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สถานการณ์ขยะในประเทศไทยไม่ได้เลวร้ายไปกว่าประเทศอื่น จึงขอความร่วมมืออย่าพูดให้ประเทศเกิดความเลวร้าย ตนไม่ทราบว่าทำไปเพื่ออะไร ทุกคนทำงานเต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ทุกคนก็มีส่วนร่วมว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น และจะประพฤติตนอย่างไรในการใช้ชีวิตในแต่ละวันเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด เพราะจะนำไปสู่เรื่องการใช้เตียงจากโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ แน่นอนว่ารัฐบาลต้องดูแลอยู่แล้วเพราะเป็นหน้าที่ แต่ถ้าเราช่วยกัน จะไม่ดีกว่าหรือเพื่อที่จะได้นำงบประมาณ ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น ก็แล้วแต่ ตนพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอยู่แล้ว
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาความยากจนหลายรัฐบาลไม่ใช่คิด แต่ตนก็ให้นโยบายแปลว่าต้องแก้ไขปัญหาจากต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ต้องดูว่าจะแก้ได้อย่างไรขั้นตอน เพื่อให้สามารถอยู่รอด ให้เหลือเงินเพียงพอที่จะนำไปใช้จ่าย จะอยู่รอดอย่างพอเพียง นำไปสู่ความยั่งยืนได้หรือไม่ หนี้สินครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ ลามไปถึงปัญหาสังคมความเสียหายการล้มละลาย การฟ้องร้อง เราจึงต้องขจัดความยากจน และพัฒนาคนตามช่วงวัยอย่างยั่งยืน การแก้ไขปัญหาความยากจน ต้องพุ่งเป้าไปที่ครัวเรือน และต้องดูว่าความจนมันเกิดจากอะไร บางครั้งไม่ใช่จนแค่เงิน แต่จนความรู้ จนเรื่องเทคโนโลยี เราจึงต้องหาวิธีการแก้ไข โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปีนี้ ตนต้องการให้ประเทศไทยเกิดความยั่งยืน ไม่ใช่ประเทศที่แตกแยก ไม่ใช่ประเทศแห่งความทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าเป็นแบบนั้นจะแก้ไขอะไรไม่ได้สักอย่าง ตรงไหนเขารบกันก็ไปรบกับเขาด้วย ตรงไหนทะเลาะกัน ก็ไปทะเลาะกับเขาด้วย ถามว่าจะอยู่แบบนี้หรือ ขอให้ทุกคนคิดกันเสียบ้าง และเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาด ผลกระทบของโรค บางส่วนถูกเลิกจ้าง ถูกหักเงินเดือน แม้รัฐบาลจะมีโครงการต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ แล้วต้องถามว่าต้องใช้เงินชดเชยอีกเท่าไหร่ ไม่มีก็ต้องหาเงินให้จนมี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือบอกว่ารัฐบาลไม่ดูแล ตนไม่เข้าใจหลักคิดของคนบางคนคืออะไร
ส่วนการผู้กู้เงิน กยศ.ที่ไม่คืนเงิน ต้องไปดูว่ายืมมากี่ปี แล้วเพราะอะไรถึงไม่ชำระ มีปัญหาก็ต้องช่วยเหลือแก้ปัญหาให้แล้วคนที่ไม่มีปัญหาไม่ชำระไปหาตัวมาให้ดีก็แล้วกัน เงินทั้งหมดในวันนี้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล เป็นเงินของประชาชนส่วนหนึ่งด้วย ต้องปรับกติกาให้ประชาชนใช้ได้ ไม่ว่าจะบริษัท รัฐวิสาหกิจอะไรต่างๆ ทุกคนต้องดูศึกษาด้วย คนบางคนพูดแต่ปาก และประชาชนก็เชื่อเขาไป อย่าไปเชื่อเขานัก ถ้าง่ายอย่างนั้นคงทำไปนานแล้ว ทำได้ไปนานแล้ว คงไม่มีต้องหนีคดีติดคุก
วันนี้เป็นมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ เพื่อลดการฟ้องร้อง ไอ้ประเภทฟ้องแล้วฟ้องอีกอยู่เนี่ย กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ฟ้องแล้วฟ้องอีก ประกันแล้วประกันอีก มันอะไรกัน ฟังกันอยู่ทำไม เจ้าหน้าที่เขาทำงานกันแทบตาย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เราต้องกลับมาดูสิ่งเก่าๆ หนี้สินปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาเหล่านี้มักจะมีปัญหาทุกครั้งกับการทำงานในแนวใหม่ ตนไม่ทราบว่าสาเหตุคืออะไร ต้องการกลับไปอยู่ในวังวนเดิมๆหรือเปล่า เพราะง่ายต่อการสร้างความชื่นชอบส่วนตัวทางการเมืองหรือเปล่า อย่าทำร้ายประชาชนอีกต่อไป ก่อนที่จะหันไปถามนายสมศักดิ์ ว่า เครียดเหมือนตนหรือไม่ ไม่ต้องมาเครียดกับตน ตนเครียดทุกเช้า สิ่งที่ตนพูดคือต้องพูดเสียบ้าง ถึงแม้ว่าใครจะให้เกียรติหรือไม่ให้เกียรติตน ตนไม่ชอบคำพูดว่า “โว” อะไรที่ดีรัฐบาลชี้แจงออกมาแต่ก็หาว่าโว โวคืออะไร คือขี้โม้ขี้คุยหรือไง เขาพูดเขาชี้แจงก็ฟังเสียงบ้าง ไม่เคยมีประเทศไหนที่สื่อไม่ให้เกียรติผู้นำอย่างประเทศนี้ ก่อนที่จะหันไปพูดกับพระสงฆ์ด้านหน้าว่า ขออนุโมทนาสาธุ และกำลังใช้ธรรมะข่มใจอยู่ ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าในการกล่าวปาฐกถาครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีค่อนข้างมีอารมณ์ และใช้เสียงดังเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเยี่ยมชมนิทรรศการ นายกฯได้ถ่ายภาพร่วมกับ รมว.ยุติธรรม นายกฯพูดว่า “ไม่มีสัมภาษณ์” ด้วยเสียงเข้ม โดยผู้สื่อข่าวพยายามขอสัมภาษณ์ให้นายกฯพูดเรื่องสถานการณ์สู้รบในยูเครน นายกฯปฏิเสธพร้อมเดินออกจากจุดถ่ายภาพทันที และเอามือจับที่คอก่อนพูดว่าเจ็บคอๆ จากนั้น นายกฯเดินทางกลับทันทีด้วยสีหน้าหงุดหงิด