ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ฆ่าได้หยามไม่ได้! “พี่ใหญ่คุณปลื้ม” ฟาดแผนคน พปชร. คิดส่ง ส.ส.เมืองชลฯ เอง เปรียบหมาเริ่มก้าวร้าว ทรยศ หักหลัง
“ตระกูลคุณปลื้ม” บ้านใหญ่แห่งชลบุรี ตกอยู่ในกระแสยอดฮิต “เปลี่ยนโปรย้ายค่าย” โดยแว่วว่า เลือกตั้งครั้งต่อไปจะย้ายกลุ่มออกจากพรรค “พลังประชารัฐ” ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปสวมยูนิฟอร์ม พรรคสร้างอนาคตไทย ที่มี “สองกุมาร” “อุตตม สาวนายน” อดีต รมว.คลัง และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” อดีต รมว.พลังงาน ร่วมกันก่อตั้ง
พอข่าวถูกจุดพลุขึ้นมาสว่างวาบ ชั่วไม่ทันข้ามคืน “อิทธิพล คุณปลื้ม” รมว.วัฒนธรรม ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาพูดในทำนอง ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะคิด หรือโฟกัสเรื่องเลือกตั้ง หรือคิดที่จะไปสังกัดพรรคทางเลือกใหม่พรรคใด ขอมุ่งมั่นการทำงานให้มีประสิทธิภาพในปัจจุบันก่อน
ฟังคำตอบของ “อิทธิพล” แบบนี้ มองในมุมของคอการเมืองคล้ายๆ “สงวนท่าที” ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เท่ากับว่า ให้เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ซึ่งนี่ก็ว่ากันไปตามลีลาของนักการเมือง แต่ที่คอการเมืองให้ความสนใจมากกว่า คือ อะไรที่เป็นสาเหตุให้ บ้านใหญ่ชลบุรี คิดย้ายค่าย? เพราะ เรื่องไม่มีมูล หมาคงไม่ขี้ ข่าวคงไม่ลือกันหนักๆ ถี่ๆ แบบนี้แน่
คล้อยหลัง “อิทธิพล” ก็ถึงคิว "สนธยา คุณปลื้ม" นายกเมืองพัทยา พี่ใหญ่ตระกูลคุณปลื้ม ได้โพสต์ผ่านเพจ สนธยา คุณปลื้ม Sontaya Kunplome เมื่อวานนี้ (17 ก.พ.) ปมต่างๆ ก็มีให้เห็นผ่านข้อความของพี่ใหญ่คุณปลื้ม ที่ได้ระบายออกมา
โดยข้อความระบุว่า “วันหยุดที่ผ่านมา มีใครต่อใครเป็นห่วงเป็นใย โทร.มาถามกันมากเรื่องเลือกตั้งทั่วไป ว่า “กลุ่มเรารักชลบุรี” จะต้องสลายตัว เพราะพลังประชารัฐจะเลือกผู้สมัครมาลงเอง หลังจากผมไปคุยกับ “ผู้ใหญ่” มาแล้ว ก็ได้เวลาที่ผมพอจะมาเล่าสู่กันฟัง
ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน เพราะหลายปีก่อนก็ได้รับคำร้องขอให้ไปร่วมก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐในสถานการณ์พิเศษในขณะนั้น เพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้ จนจู่ๆ ก็มีคนของพรรคประกาศว่า จะหาคนมาลง ส.ส.ทุกเขต
ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรค จึงไม่ยากที่ผมจะสอบถาม “ผู้ใหญ่” ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ต้น ผมได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า “มันก็อยากจะสร้างอาณาจักร อย่าไปสนใจ”
เรื่องน่าจะจบแค่นั้น แต่ไม่ใช่ เพราะยังมีหลายอย่างที่น่าคิดโดยเฉพาะประโยคที่ว่า “อย่าไปสนใจ”
จริงๆ ผมก็พยายามไม่สนใจมานาน เพราะคอยแต่คิดว่าการที่คนๆ หนึ่ง จะพูดเท็จหลายเรื่องในที่ต่างๆ เพื่อให้ตัวเองดูดีนั้น ก็เห็นอยู่ดาษดื่น มีเพิ่มมาอีกคนก็ไม่แปลก
คล้ายกับเวลาหมาเห่า ถ้าไม่สร้างปัญหาร้ายอะไร เราก็ไม่ควรไปดุ เพราะหมาก็ทำตามสัญชาตญาณของหมา แต่คราวนี้ต่างไป เพราะผมเริ่มรู้สึกว่าหมาเริ่มก้าวร้าว ทั้งที่อุ้มชูมายาวนาน
คนชลบุรีรักใครรักจริง คบใครคบจริง เราเป็นแบบนี้กันมาตลอด นับญาติกันมาตั้งแต่เกิด แต่กับการทรยศ หักหลัง เราก็จะไม่นิ่งเฉย”
ส่งสัญญาณชัดเจนจากพี่ใหญ่ของบ้านใหญ่ชลบุรีมาเอง.. แบบ ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ ! งานนี้ ใครจะสร้างอาณาจักร ใครทรยศ หักหลัง หมาก้าวร้าว เตรียมตัวได้เลย
** “รามเกียรติ์” ตอนศึกอภิปรายฯ 152 มาดูว่าใครรับบท พระราม ทศกัณฐ์ นางสีดา และหนุมาน
การอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เปิดหัวมาก็ดุเดือด เมื่อ “ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา บอกว่า จะชี้เป้าให้รัฐบาลได้เห็นว่า การบริหารงานของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” นั้นประชาชนเดือดร้อนกันแค่ไหน จาก แพงทั้งแผ่นดิน... จนทั้งแผ่นดิน... พังทั้งแผ่นดิน...หรือจะเรียกญัตตินี้ว่า “แพง จน พัง ทั้งแผ่นดิน” ก็ได้
จากนั้น “หมอชลน่าน” ก็ไล่เรียงประเด็นปัญหาที่รัฐบาลบริหารผิดพลาดจนทำให้เศรษฐกิจทรุด ต้องกู้จนประเทศเป็นหนี้มหาศาล ของแพง ค่าแรงถูก โควิดระบาด การเมืองไม่ปฏิรูป สภาเลื่อม มีทั้งแจกกล้วย ฉีดวัคซีนกัน 20-30 ล้าน แล้วสรุปว่า นั่นเป็นเพราะเรามี “ผู้นำที่ไร้ความสามารถ”
จึงขอแนะนำว่า ถ้าจะแก้ปัญหาที่ว่ามาข้างต้นให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นั่นคือ นายกฯลาออก หรือไม่ก็ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่กันโดยเร็ว...
เจอปรามาสต่อหน้าต่อตา ว่า เป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถแบบนี้ แม้จะเจ็บจี๊ด แต่ “ลุงตู่” ก็เอาธรรมะข่มใจ ชี้แจงว่า รัฐบาลนี้ทำงานในสถานการณ์พิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ นำรัฐนาวาฝ่าโรคระบาด จึงต้องใช้ความสามารถในการแก้ปัญหาทุกมิติ ประเทศชาติจึงผ่านวิกฤตมาได้ถึงทุกวันนี้
ในช่วงหนึ่ง “ลุงตู่” ก็อดที่จะแขวะไปยังฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ โดยบอกว่า ... เคยคุยกับผู้นำฝ่ายค้าน ก็ได้รับคำแนะนำว่า เวลาเข้ามาในสภา ควรวางบทบาทให้เหมือนเรื่อง “รามเกียรติ์” แน่นอนอยู่แล้วว่าตนต้องเล่นบท “พระราม พระลักษมณ์” อีกฝ่ายเล่นบทเป็น “ทศกัณฐ์” ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าสุดท้าย ทศกัณฐ์ เป็นอย่างไรในตอนจบ...
“ลุงตู่” ยังทิ้งหมัดก่อนจากว่า อะไรก็ตามที่เป็นข้อเท็จจริงที่ท่านแนะนำมา ที่พอจะนำไปใช้แล้วประโยชน์ก็จะรับไป ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะแพง จน พัง ทั้งแผ่นดิน รับไว้หมด ...ต่างคนต่างเล่นคนละบทบาท จะให้ผมเล่นเป็น พระลักษมณ์ พระราม ก็แล้วแต่ ท่านอยากเป็น ทศกัณฐ์ ก็แล้วแต่ ดูหนังดูละคร ก็ขอให้ย้อนดูตัวคนเล่นละครด้วย แต่ว่าประเทศไทยใหญ่กว่ารามเกียรติ์เยอะ...
ออกจากห้องประชุม “ลุงตู่” ก็ลงมาแถลงข่าวก่อนกลับทำเนียบฯ ก็ยังไม่ลืมเล่นบท “พระราม” โดยทิ้งท้ายฝากไปถึงฝ่ายค้านที่กำลังอภิปรายว่า “อย่าให้พระรามต้องแผลงศรบ่อยก็แล้วกัน”
คล้อยหลัง “ลุงตู่” คราวนี้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข มาแถลงข่าวบ้าง ก็เจอนักข่าวป้อนคำถามว่า การอภิปรายครั้งนี้นายกฯเปรียบตัวเองเป็น พระราม ฝ่ายค้านเป็นทศกัณฐ์ แล้ว “เสี่ยหนู” เป็นตัวละครใด ซึ่งเสี่ยหนูก็หัวเราะร่วน รับมุกว่า “เป็นนางสีดา”
เรื่องยังไม่จบแค่นั้น นักข่าวยังเอามุกเรื่องรามเกียรติ์ ไปถาม “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ว่า “ท่านรองวิษณุ” น่าจะเปรียบได้กับตัวละครตัวไหน ก็ได้รับคำตอบว่า ... พิเภกมั้ง เป็นพิเภกสนุกดี ...นักข่าวเลยว่า แต่พิเภกเคยอยู่กับทศกัณฐ์มาก่อน ซึ่งรองวิษณุก็บอกว่า สุดท้ายตอนหลังพิเภกก็มาอยู่กับพระราม ก่อนจะออกตัวว่า... ผมพูดเล่น ผมไม่ได้เป็นพิเภก แต่เป็นพระวิษณุ เป็นเทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งพระวิษณุก็คือพระนารายณ์ และยังเป็นร่างหนึ่งของพระรามด้วย... เจอมุกระดับ “ซือแป๋” อย่างนี้ นักข่าวต้องยอม...
ส่วน “เต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่เพิ่งรับบทฝ่ายค้านในฐานะตัวแทนกลุ่ม 16 เห็นแสงเรืองๆ เรื่องรามเกียรติ์ ที่เขาปล่อยมุกกันสนุกสนาน เลยโดดเข้ามาแจมบ้างว่า... นายกฯเปรียบตัวเองเป็น “พระราม” ผู้นำฝ่ายค้านเป็น “ทศกัณฐ์” ส่วนเสี่ยหนู อนุทิน เป็น “นางสีดา” ซึ่งตนเข้าใจว่า นางสีดา เป็นเมียทั้งทศกัณฐ์ และพระราม แสดงว่าเป็นหญิงสองผัว... ส่วนตนเองนั้นขอเป็น “หนุมาน” จะได้ไปเผากรุงลงกาของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเผาให้ราบคาบ และจุดจบของเรื่องรามเกียรติ์ คือ กรุงลงกาโดนเผา
ทั้งหมดทั้งมวลก็ถือว่าเป็นสีสันของเรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกอภิปรายฯ ก็แล้วกัน พอได้คลายความเครียด