“แรมโบ้” ฟาด “สุทิน-หมอชลน่าน” อับจนปัญญา อภิปรายลีลาเดิมๆ หายใจเข้าหายใจออกก็ให้นายกฯ ยุบสภา-ลาออก คอยแต่รับใช้นักโทษหนีคดี รู้ทั้งรู้ว่าเขาหลอกใช้ ระวังจะเสียคนตอนแก่เหมือนรุ่นพี่ๆ
วันนี้ (17 ก.พ.) ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) กล่าวถึงกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ทำการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตาม ม.152 ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ. ซึ่งทางด้าน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน ได้ให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจว่า การอภิปรายในครั้งนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์กับประชาชน จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับการบริหาร เปลี่ยนแปลงในระดับรัฐมนตรี และอาจจะถึงขั้นเปลี่ยนแปลงผู้นำ เพราะเกิดวิกฤตศรัทธาขั้นรุนแรง หลังจากนี้ มีอาฟเตอร์ช็อกแน่นอน ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ไม่หนักใจ ไม่ให้ราคานั้น อาจเป็นเพราะไม่มีการลงมติ ท่านเลยเบาใจ ไม่ต้องเข็นกล้วยออกจากสวน แต่อย่าลืมว่ามือในสภาไม่เท่าศรัทธาของประชาชน ซึ่งการไม่ลงมติในครั้งนี้ถือว่าดีกับฝ่ายค้านมากกว่า เพราะถ้าลงมติมือเราก็แพ้พวกคุณ แต่ถ้าไม่ลงมติก็ไม่ได้มีข้อบ่งชี้ว่าใครแพ้ ใครชนะ แต่ทุกครั้งหลังการอภิปรายจะมีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งฝ่ายค้านจะได้คะแนนดีกว่ามาตลอด ส่วนรัฐบาลจะสอบตก
ดร.เสกสกล บอกว่า ตนเองนั่งฟังสิ่งที่นายสุทินให้สัมภาษณ์หลายรอบ และก็อ่านที่สื่อมวลชนเขียนข่าวนี้ก็หลายครั้ง ก็ยังแปลกใจว่านายสุทินไปเอาข้อมูลมาจากไหนว่าทุกครั้งที่มีการอภิปรายแล้วผลสำรวจ ปรากฏว่า คะแนนฝ่ายค้านดีกว่าฝ่ายรัฐบาล เพราะที่ตนเองเห็นนั้นหลังการอภิปรายทุกครั้งประชาชนจะสะท้อนออกมาว่า การทำงานของฝ่ายค้านนั้นไม่เอาไหนมีแต่เรื่องเดิมๆ กล่าวหา โจมตีบิดเบือน ปล่อยเฟกนิวส์ในสภา แล้วอาศัยเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองจนประชาชนเอาเอือมระอากันไปทั่ว ไปทางไหน ก็ได้ยินแต่เสียงบอกเสียเวลา เปลืองน้ำเปลืองไฟของสภา หากเปิดสภาอภิปรายแล้วทำได้แค่นี้อย่าเปิดมันเลยดีกว่า
ขณะที่ทางด้าน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาเช่นกัน ที่ขึ้นเปิดหัวอภิปรายกล่าวหารัฐบาล ก็เป็นการกล่าวหาเดิมๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เปิดสภากี่รอบ ก็ออกลีลาแบบนี้ กล่าวหา แต่ไม่เคยเอาหลักฐานอะไรมาแสดงให้เห็นได้สักครั้ง กล่าวหาว่า รัฐบาลสารพัดล้มเหลวทุกด้าน บริหารไร้จิตสำนึก เผด็จการ ต้นเหตุของปัญหา แล้วก็ลงท้ายด้วยการให้ลาออก หรือยุบสภา
“ลีลาการอภิปรายของหมอชลน่าน ไม่เคยเปลี่ยน จาก ส.ส.ขยับมาเป็นหัวหน้าพรรค ขยับมาเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา แต่ลีลา และปัญญา ยังคงเท่าเดิม ไม่เคยมีการอภิปรายสร้างสรรค์ แม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งมีแต่ใส่ร้าย บิดเบือน ป้ายสี และกล่าวหารัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ให้เกิดความเสียหาย ทุกครั้ง และสิ่งที่ไม่เปลี่ยนอีกอย่าง นั่นก็คือ หายใจเข้า ก็บอกให้นายกฯลาออก หรือยุบสภา หายใจออก ก็บอกให้นายกฯลาออก หรือยุบสภา ท่าทางหมอชลน่าน คงคิดกระมังว่า ถ้านายกฯลาออกแล้ว ตัวเองนั้นจะได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อยากจะบอกว่าอย่าฝันให้ไกลเลย แค่ตำแหน่งหัวหน้าพรรค ก็มากพอแล้ว เขาเอาใส่กรอบแขวนไว้ให้เห็นว่ามีหัวหน้าพรรคไว้เฝ้าพรรค คอยกัดคนนั้นที คนนี้ที ถ้ายุบสภา เลือกตั้งใหม่เมื่อไหร่ อย่าคิดว่า ตัวเองจะได้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่งของพรรค ดีไม่ดีอาจจะไม่มีชื่อเสียด้วยซ้ำ ก็ดูรุ่นพี่ๆ ซิ ว่า ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร นายทักษิณไม่มีทางที่จะเอาคนอย่างหมอชลน่าน มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ อย่างที่หมอชลน่านฝันหรอก เขาเอาคนในตระกูลเขาก่อนทั้งนั้น หรือไม่ก็คนใกล้ชิด หมอชลน่าน หยุดฝันเสียที แล้วทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรค ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนเสียจะดีกว่า ทุกวันนี้ ยังเสียหมอไม่พอหรืออย่างไร ถ้ายังทำตัวแบบทุกวันนี้ไม่ใช่เพียงจะเสียหมอ ระวังจะเสียคนตอนแก่เหมือนรุ่นพี่ๆ ในพรรคเพื่อไทย เพราะโดนนายทักษิณ หลอกใช้แล้วก็ถีบหัวส่ง หรือว่าคนอย่างหมอชลน่าน อับจนปัญญา จนต้องคอยรับใช้นักโทษหนีคดีทุจริตอยู่ร่ำไป คิดอะไรด้วยสมองของตัวเองไม่เป็น” ดร.เสกสกล กล่าว