เมืองไทย 360 องศา
“หนูช่วยหน่อยนะ”
นั่นเป็นรายงานข่าวว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “หนู” ในทำนองว่า ให้ช่วยเหลือสนับสนุนรัฐบาลให้เดินต่อไปได้ ในท่ามกลางสถานการณ์ที่เวลานี้เกิดปัญหารุมเร้าเข้ามาพร้อมๆกันหลายด้าน
โดยเฉพาะปัญหาสำคัญเฉพาะหน้า ก็คือ “เสียงสนับสนุน” ในสภา หลังการแยกตัวออกไปจากพรรคพลังประชารัฐ ไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย ของกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แม้ว่าจะยังไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นฝ่ายค้าน แต่เมื่อพิจารณาจาก “แบ็กกราวนด์” แล้วถือว่ามีความเสี่ยงสูง
ขณะเดียวกัน เมื่อแยกพิจารณากันในเรื่องความขัดแย้งล่าสุดในรัฐบาล จากโครงการต่อขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่างกระทรวงมหาดไทย โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่กำกับดูแลงานกรุงเทพมหานคร และเป็นเจ้าของสัมปทาน กับกระทรวงคมนาคม ที่กำกับดูแลโดยพรรคภูมิใจไทย และดูแลรถไฟฟ้ามหานคร (รฟม.) ที่เป็นผู้ก่อสร้างงานโยธาในส่วนต่อขยาย และต้องโอนให้กรุงเทพมหานคร ดำเนินการแลกกับการต้องชดเชยหนี้คืนมาให้ และยังมีประเด็นซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลายอย่าง ซึ่งคงไม่ใช่แค่เรื่องการผลักดัน “ค่าโดยสาร” ให้ถูกลงอย่างเดียว
เพราะหากเป็นแค่ค่าโดยสาร หากทุกฝ่ายทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงๆ แล้ว มันก็คงไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้เรื่องต้องคาราคาซังมานานแบบนี้แน่นอน
อย่างไรก็ดี ในท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลผสมภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มถูกมองว่าไม่มีเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะเสียงสนับสนุนในสภาที่เริ่มไม่ชัวร์ หลังจากกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส แยกตัวออกไปจากจำนวนตัวเลข 18 คน ทำให้เสียงของฝ่ายรัฐบาลที่บอกว่านับรวมกันแล้วเสียงเกินกึ่งหนึ่งมาประมาณ 8-10 เสียงเท่านั้น มันก็ยิ่งทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น หากเมื่อใดที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอกรัฐบาล โดยเชื่อว่าต้องเกิดขึ้นแน่ในช่วงเปิดสภาสมัยสามัญ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
ด้วยเสียงที่ไม่มั่นคงดังกล่าว ก็มีรายงานระหว่างหารือกันนอกรอบที่ทำเนียบรัฐบาล ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ นายสุชาติ ชุมกลิ่น รมว.แรงงาน ภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการแก้ปัญหาการทำงานของสภาผู้แทนราษฎรนั้น
ช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เปรยว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ นายกฯมีทางเลือกไม่มาก โดย นายอนุทิน กล่าวสวนขึ้นมาว่า ท่านนายกฯมีทางเลือกเดียว คือ อยู่ครบเทอม และไม่ต้องห่วงจำนวน ส.ส.ในสภา หากมีการซักฟอก ฝ่ายค้านจะรวมเสียงได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง และเสียงสนับสนุนนายกฯมั่นใจว่าจะสามารถหาได้ไม่น้อยกว่า 260 เสียง อย่างแน่นอน
มีรายงานอีกว่า นายอนุทิน ยังได้นำกระดาษที่มีการจดจำนวน ส.ส.ของฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ที่พกติดตัวออกมาแสดงให้นายกฯดูด้วยว่า จำนวน 260 เสียง มาจากส่วนใดบ้าง โดยไม่ได้นับรวมกับเสียงของพรรคเศรษฐกิจไทย ที่เพิ่งแยกตัวออกไปจากพรรคพลังประชารัฐ ทั้งนี้ การบริหารเสียงในสภาของพรรคภูมิใจไทย เคยมีผลงานให้เห็นแล้วในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือน ก.ย. 64 ที่ผ่านมา ที่สามารถหาเสียงสนับสนุนให้กับนายอนุทิน และ นายศักดิ์สยาม มากที่สุดจำนวนถึง 269 เสียงมาแล้ว
จากนั้น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าวหลังการประชุมร่วมคณะกรรมการบูรณาการนโยบายภาค (ก.บ.ภ.) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นประธานแล้ว ยังมี นายอนุทิน และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งมีการสอบถามถึงเรื่องคำพูดที่ว่า “หนูช่วยหน่อยนะ” โดย พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า จำไม่ค่อยได้ แค่คงหมายถึงพูดกับทุกพรรคทุกคนในรัฐบาลให้ช่วยกัน
ขณะที่ นายอนุทิน ก็กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้สอบถามตนว่า “พี่พูดกับหนูเมื่อไหร่” ตนจึงระบุไปว่า ก็จำไม่ค่อยได้ แต่เป็นธรรมดา หาก พล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ช่วย ก็ต้องช่วยกันทำงาน เป็นหน้าที่อยู่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ พูดทำนองนี้ แต่ไม่ได้บอกว่า “หนูช่วยหน่อยนะ” ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ให้ช่วยเรื่องอะไร แต่เป็นการช่วยทำงาน ช่วยให้ทุกอย่างเกิดความเรียบร้อย
ถามว่า การพูดคุยวันดังกล่าว ได้ยืนยันตัวเลข 260 เสียงกับนายกฯ จริงหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตัวเลขนี้ไม่รู้มาจากไหน แต่ยืนยันจะพยายามทำให้เกิดความมีเสถียรภาพให้ได้มากที่สุด เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ต้องสนับสนุนนายกฯเต็มประตูอยู่แล้ว นายกฯ ยังไม่เคยทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ผิดไปจากนโยบายที่ได้แถลง ทุกอย่างเป็นไปตามทำนองคลองธรรม สิ่งที่ท่านทำทุกอย่างถ้าเป็นประโยชน์กับประเทศ ด้วยความเป็นรัฐบาลด้วยกัน เราก็ต้องสนับสนุน ต้องช่วยกัน รวมทั้ง “มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน” ประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อมีการถามถึงการประชุม ครม. วันที่ 15 ก.พ. หากมีการพิจารณาประเด็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่เห็นวาระการประชุม เมื่อถามย้ำว่า หากมีการพิจารณาแล้วผลไม่เป็นไปตามที่ ภท. ต้องการ จะทำอย่างไร นายอนุทิน กล่าวสวนกลับมาว่า ให้มันเกิดขึ้นก่อน
ต่อข้อถามว่า กรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว หากพิจารณาแล้วไม่ว่าผลจะออกมาทิศทางใด เมื่อเข้าสู่การอภิปราย ภท. จะยังสนับสนุนรัฐบาลอยู่ ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องดูว่าจะเข้ามาในรูปแบบไหน จะไปพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิดไม่ได้ แต่เห็นว่าน่าจะสามารถหาจุดร่วมกันได้ ไม่ใช่ความขัดแย้ง ซึ่งหากเป็นมติคณะรัฐมนตรีก็ว่ากันไปตามนั้น
สำหรับกรณีการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวดังกล่าว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐมนตรีสังกัดพรรคภูมิใจไทยทั้ง 7 คน ได้พร้อมใจกันลาประชุม เป็นการประท้วงไม่เห็นด้วยกับแนวทางของกระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ทำให้หลายฝ่ายเกรงว่า อาจเป็นชนวนสำคัญทำให้รัฐบาลล่มลงก็เป็นได้ แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีล่าสุดของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยแล้ว ทำให้มองเห็นว่าน่าจะมีทางออกร่วมกันได้แล้วจากการหารือกันนอกรอบดังกล่าว
ที่สำคัญ ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า เขาจะทำหน้าที่เป็น “ขุนพลเอก” ในการ “ค้ำบัลลังก์บิ๊กตู่” ให้อีก จากการรับอาสาหาเสียงสนับสนุนให้กับนายกรัฐมนตรีในการรับศึกซักฟอกในคราวหน้า โดยการการันตีเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 260 เสียงดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ในมุมการเมืองที่กล่าวว่า “ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร” หรือ ศัตรูของศัตรูคือมิตร อะไรก็ว่าไป ยิ่งทำให้มาประเมินกันต่อว่าท่าทีและความเคลื่อนไหวแบบนี้หมายถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็มีทางออกร่วมกันได้แล้วใช่หรือไม่ นอกเหนือจากนี้ หากพิจารณาจากหลายโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของพรรคภูมิใจไทย ทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข ที่กำลังเดินหน้า หรือบางโครงการสำคัญที่กำลังจ่อคิวเข้าพิจารณา ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่ามีโอกาส “ผ่านฉลุย” อยู่แล้ว
และในความหมายเดียวกันแบบนี้ ยังหมายรวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ทั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่ไล่เรียงลงมาตั้งแต่ “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีคนอื่นๆ พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เชื่อว่า ยังอยากเป็นรัฐบาลไปนานๆ คงไม่อยากเสี่ยงเพิ่มความไม่แน่นอนในวันข้างหน้า หากมองในมุมนี้มันก็ยังพอมั่นใจได้เหมือนกันว่าน่าจะ “กอดคอ” กันไปจนจบ อย่างน้อยก็จนถึงปลายปี แต่ก็อย่างว่าการเมืองมันไม่มีอะไรแน่นอน ทุกอย่างพลิกผันได้ชั่วข้ามคืน !!