ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “เดียร์ลอง” Onlyfans ไม่ธรรมดา ฉายาเจ้าหญิงดิสนีย์เมืองไทย-สตรีมเมอร์เบอร์ต้น
จัดว่าเป็นดรามาร้อนฉ่าไปทั่วโลกโซเชียลฯ เมื่อ “เดียร์ลอง” หรือ น้องกวาง อาริศา กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจ กรณี “คลิปสยิว” เดียร์ลอง ที่เผยแพร่ลงเว็บไซต์ OnlyFans เว็บเฉพาะทางของเหล่าคนสายเซ็กซ์ ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อเข้าไปชื่นชมผลงานของ “เซ็กซ์ครีเอเตอร์” ทั้งหลายโผล่ว่อนเน็ต รวมถึงผู้ที่นำคลิปวิดีโอจากเว็บไซต์ดังกล่าว ออกไปเผยแพร่ภายนอก คล้ายๆ กับกรณีของ “น้องไข่เน่า” ที่โด่งดังไปก่อนหน้านี้
เรียกว่า ดรามา “เดียร์ลอง” เป็นที่โจษจัน ฮอตฮิตติดชาร์ตเป็นแฮชแท็กยอดนิยมในทวิตเตอร์ จนต้องถามไถ่กันว่า เดียร์ลอง คือใคร?
เดียร์ลอง หรือ “กวาง อาริศา” หญิงสาวหน้าตาดี หุ่นเซ็กซี่ เธอกำลังจะมีอายุครบ 26 ปี ในวันที่ 27 เมษายน ที่จะถึงนี้ เป็นลูกคนเดียว จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนพระแม่มารี สาทร กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขา Voice จากสถาบัน Superstar College of Asia
“กวาง” เริ่มสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยวัยเพียง 18 ปี จากการเข้าร่วมประกวดในรายการ ดัง “Thailand’s Got Talent” ซีซั่นที่ 4 ในปี 2557 ตอนนั้นคว้าอันดับที่ 6 โดยเธอใช้ความสามารถร้องเพลงสไตล์เทพนิยายของดิสนีย์ได้ไพเราะจับใจผู้ฟังอย่างโดดเด่น จนเป็นที่รู้จักในนาม “เจ้าหญิงดิสนีย์ของเมืองไทย” ในเวลาต่อมา
จากนั้น “กวาง” หรือ “เดียร์ลอง” ต่อยอดความสามารถของเธอหันเข้าไปสู่วงการสตรีมเมอร์ ASMR ซึ่งถือเป็นคนแรกๆ ของวงการ ทำให้ชื่อของ “เดียร์ลอง” มาเป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะสตรีมเมอร์ และยูทูบเบอร์สาวสาย ASMR เบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย จนมีโอกาสได้เซ็นสัญญากับค่าย Online Station ในโครงการ Facebook Gaming
ทุกวันนี้ “เดียร์ลอง” ได้ผลิตคอนเทนต์ มีแฟนๆ ติดตามกันในโซเชียลฯ ทั้ง Facebook : เดียร์ลอง Instagram : @arisahomgroon YouTube : ARISA ASMR
ต้องยอมรับ “เดียร์ลอง” มีความสามารถเอกอุ เป็น เน็ตไอดอล ในสายที่เธอเดินอย่างภาคภูมิ แต่เมื่อมีคลิปสยิวที่ตัวเธอครีเอทไว้ สร้างรายได้ในช่อง Onlyfans หลุดมาว่อนเน็ต จึงตกเป็นดรามา ดังที่ว่ามา
แน่นอนว่า ชาวโซเชียลฯ แสดงความเห็นมากมาย โดยเสียงแตกเป็นสองกระแส ด้านหนึ่งก็ด่าตำรวจ ที่จะไปยุ่งอะไรกับเดียร์ลอง เพราะมองว่าสังคมไทยเป็นพวกปากว่าตาขยิบ เป็นสิทธิ์ที่เธอจะทำ และแฟนๆ ก็จำกัดอยู่กับพวกที่สมัครใจในการรับชมคอนเทนต์ของเธอ หากจะเอาผิดก็ควรไล่ล่าคนที่ดูดคลิปเธอมาเผยแพร่ไม่ดีกว่าหรือ
ขณะอีกฝ่ายมองว่า แพลตฟอร์มแบบ Onlyfans สำหรับบ้านเรา ยังไงก็ไม่เหมาะสม สังคมไทยไม่ควรรับวัฒนธรรมแบบนี้มาเผยแพร่ หรือส่งเสริม “เซ็กซ์ครีเอเตอร์” เหล่านี้ แถมไม่มีกฎหมายรองรับ
นี่ก็เป็นอีกบริบทหนึ่งของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โลกดิจิทัล ที่ทำให้วิถีชีวิตผู้คนเปลี่ยน การมองหาโอกาส หารายได้ เป็นเรื่องเย้ายวนใจ ซึ่งว่ากันว่า เฉพาะ Onlyfans ก็ทำเงินมหาศาลให้กับคนที่ทำคอนเทนต์ ยิ่งโด่งดัง ยิ่งโปรไฟล์ไม่ธรรมดา รายได้หลักแสนหลักล้าน ต่อเดือน ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ไม่ต้องแปลกใจ จาก “น้องไข่เน่า” มาถึง “น้องเดียร์ลอง” จะไม่ใช่รายสุดท้ายแน่นอน หมดจาก Onlyfans ก็ย่อมมีช่องทางอื่น แพลตฟอร์มอื่นตามมา ตำรวจจะไล่จับ ไล่ปรับ ปราบปรามกัน ก็ว่ากันไปตามหน้าที่... ส่วนความเห็นเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร อันนี้ก็นานาจิตตัง
** วิบากรรมพืชกระท่อม เจอคนอย่าง “บีม พลังใบ” ทำเสีย ยังมาเจอ ส.ว.เต่าล้านปีขวางอีก
เพิ่งเป็นข่าวฮือฮา กรณี “บีม-ศรัณยู ประชากริช” โหน “พลังใบ” ไลฟ์สดแสดงพฤติกรรมห่าม หลังเคี้ยวใบกระท่อม ทั้งขับรถ ขับเรือ ด้วยความประมาท เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ อันตรายต่อผู้อื่น หรือทรัพย์สินเสียหาย ... คล้ายๆ จะบอกว่าเคี้ยวใบกระท่อมแล้วดีด คึก มันส์ อะไรประมาณนั้น ก็เลยถูกทัวร์ลงอย่างหนักที่ทำเสียสถาบันกระท่อม แถมยังถูกเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา เสียค่าปรับกันไปตามระเบียบ
จริงอยู่ที่พืชกระท่อม ถูกปลดพ้นยาเสพติดไปแล้ว จะปลูก จะขาย จะเคี้ยว ไม่ผิดกฎหมาย แต่เพื่อให้มีมาตรการกำกับดูแล ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และไม่ให้มีการบริโภคใบกระท่อมมากเกินสมควร จนอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จึงจำเป็นต้องมีกฎหมาย คือร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อมขึ้นมากำหนดกรอบ ที่นอกจากส่งเสริม พัฒนาเพื่อเศรษฐกิจแล้ว ก็มีบท “คุ้มครองผู้บริโภค” เพื่อไม่ให้นำไปใช้ในทางที่ผิดอยู่ด้วย อย่างเช่น...
ห้ามขายใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม ให้แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร ถ้าฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท ... ห้ามขายใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม ในสถานศึกษา หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก หรือขายผ่านเครื่องขาย ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท...ห้ามบริโภคใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม ที่ปรุง หรือผสมกับยาเสพติดให้โทษ หรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท รวมถึงวัตถุอันตรายต่างๆ ฝ่าฝืนต้องรับโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท....
ร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ปรากฏว่า ถูก ส.ว.ปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมไปถึง 11 มาตรา ... อย่างเช่น สถานที่ขายใบกระท่อม ได้เพิ่มเติมไปว่า ห้ามขายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ ก็คือ ห้ามขายผ่านช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ ก็มีการเพิ่มอัตราโทษเป็นสองเท่า กรณีขายใบกระท่อมให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร หรือขายในสถานที่ห้ามขาย
เมื่อร่างแก้ไขนี้ ได้ส่งคืนมาให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก็เลยเป็นเรื่อง... ทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล รุมถล่ม ส.ว. ว่า พิจารณากฎหมายแบบเต่าล้านปี ถอยหลังลงคลอง...โดยเฉพาะในประเด็นห้ามขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์
“พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย บอกไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของ ส.ว. ที่ห้ามขายโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เพราะทุกวันนี้ เมื่อเปิดโทรศัพท์ เข้าโซเชียลฯ ก็จะเห็นการโฆษณาขายต้นกระท่อม ผลิตภัณฑ์กระท่อม และงานวิจัยเกี่ยวกับกระท่อมเต็มไปหมด เมื่อห้ามขายโดยวิธีนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการล็อกไม่ให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ตามที่ตั้งหวัง...ยุคนี้ถ้าไม่ขายในโซเชียลฯ แล้วจะไปซื้อไปขายกันที่ไหน ...
“สงวน พงษ์มณี” ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย เห็นว่า ทาง ส.ว. คงวิตกกังวลว่า กระท่อม จะสร้างปัญหาให้เยาวชน หรือสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ไม่ดี จึงไม่ให้ขายทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่ทำไมไม่มองว่า วันนี้สังคมเราก้าวสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หากห้ามตรงนี้จะเป็นอุปสรรคกับการพัฒนาและการใช้พืชกระท่องเพื่อเศรษฐกิจตามที่ได้ตั้งเอาไว้ เพราะพืชกระท่อมเป็นยา สารสกัดจากใบกระท่อม ออกฤทธิ์แก้ปวด หากว่ารัฐบาลส่งเสริมให้มีการแปรรูป เป็นสารที่มีประโยชน์ จะรักษาได้หลายโรค ดังนั้น กรณีนี้จึงสมควรตั้ง กมธ.ร่วมกัน เชื่อว่า น่าจะมีข้อตกลงกันได้
“วีระกร คำประกอบ” ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ เห็นว่า การห้ามโฆษณาขายในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าตกยุค อีกอย่างเมื่อกระท่อมถูกถอดจากยาเสพติดแล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องระวางโทษมากมาย หรือแก้ไข เล็กๆ น้อยๆ หยุมหยิม แทนที่จะได้ออกเป็นกฎหมายโดยเร็ว ก็ต้องมาตั้งกมธ.ร่วม ทำให้ล่าช้า
หรืออย่าง “เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร” ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล เห็นว่า การห้ามออนไลน์นั้นห้ามไม่ได้ ถ้าห้ามก็จะมีคนขายเถื่อนอยู่ดี ดังนั้น ควรนำมาขายออนไลน์ และออกกฎระเบียบให้ชัดเจน เพราะตอนนี้กระแสโลกเขาซื้อ ขาย ออนไลน์กันแล้ว
สุดท้ายที่ประชุมสภาฯ ลงมติไม่เห็นด้วยกับที่ ส.ว.แก้ไขเพิ่มเติม กระบวนการหลังจากนี้คือ ต้องตั้ง กมธ.ร่วมกันของสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา เพื่อพิจารณาหาข้อยุติกันอีกครั้ง ก็ต้องติดตามกันว่า “กฎหมายกระท่อม” จะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร